"ปณิธาน" มองก้าวต่อไปพระวิหาร "ชี้ขาดที่การทูต"
"...ตอนนี้การทูตเรามีปัญหาพอสมควร แต่ก็ยังไม่วิกฤติถึงขั้นอิหร่าน อิรัก ที่กลยุทธ์ทางการทูตทำให้เกิดสงคราม นั่นเขามีการทูตที่ไม่ดี แต่ของเรา จากที่เคยดีกว่านี้ ในวันนี้ก็ถือว่าน่าผิดหวัง...”

ภายหลังคำพิพากษาตีความคำตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหาร แม้รัฐบาลได้ตั้งทีมตรวจสอบคำวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยมีตัวแทนจากหลายหน่วยงาน แต่นอกจากทีมศึกษาคำวินิจฉัยของศาลโลกแล้ว การตั้งทีมเจรจาก็ยังเป็นสิ่งที่สังคมตั้งคำถามว่ากรอบการเจรจาจะดำเนินไปในทิศทางใด ไทยจะเสียเปรียบมากน้อยแค่ไหน
ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ "สำนักข่าวอิศรา" www.isranews.org ในประเด็นดังกล่าว โดยวิจารณ์ถึงท่าทีรัฐบาลที่มีต่อคำวินิจฉัยของศาลโลก ทั้งแนะว่าควรต้องทันเกมกัมพูชา และต้องไม่ลืมว่าคนไทยทั้งประเทศก็เป็นเจ้าของพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน
ดร. ปณิธานกล่าวว่า แม้วันนี้ รัฐบาลจะเริ่มปรับท่าทีให้เหมาะสมขึ้นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในช่วงแรกๆ ท่าทีของรัฐบาลอาจจะสับสน ไม่เหมาะสม เพราะตอบรับหรือยืนยันการรับคำวินิจฉัยทันที โดยที่ยังไม่รับมาพิจารณาให้ชัดเจนก่อน แล้วเมื่อทางกัมพูชาออกมาแถลงว่าเขา ได้เปรียบหรือชนะ ท่าทีรัฐบาลเราก็เปลี่ยน จากตอนแรกบอกว่าคำวินิจฉัยมีส่วนดี แต่เมื่อมาถึงในรัฐสภา ถูกถามว่าถ้าบอกว่าดี แล้วทำไมรัฐบาลยังไม่รับคำวินิจฉัย รัฐบาลก็ขยับไปขยับมา แต่ตอนนี้ ท่าทีก็ชัดเจนขึ้นแล้ว ว่าจะกลับไปศึกษาคำวินิจฉัยก่อน ซึ่งจริงๆ แล้ว สิ่งนี้ควรจะเป็นท่าทีแรกที่ควรทำ และจริงๆ แล้วก็เป็นท่าทีที่กระทรวงการต่างประเทศแสดงออกมาตลอด คือควรจะปรึกษากันก่อน ไม่ใช่มีท่าทีออกมาหลายหลาก
ดร.ปณิธานกล่าวว่า เมื่อศึกษาแล้วรัฐบาลก็จำเป็นต้องสื่อสารกับสังคมและกัมพูชาให้ชัด การที่รัฐบาลรีบออกมากล่าวแบบนั้นทำให้สับสนว่าการเจรจากับกัมพูชาจะเป็นอย่างไร ความตั้งใจที่จะนำผลไปปฏิบัติจะเป็นอย่างไร การปฏิบัติในพื้นที่จะทำอย่างไร ซึ่งตนว่าสิ่งเหล่านี้กัมพูชาเตรียมการไว้ชัดเจนกว่าเรา ส่วนเรากว่าจะสรุปท่าทีที่แน่ชัดได้ก็ช้า และจริงๆ แล้วท่าทีตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนนัก ยังอยู่ในขั้นขอศึกษาคำวินิจฉัยก่อนแล้วจึงค่อยกำหนดท่าที แต่ก็ไม่ถึงขั้นปฏิเสธคำวินิจฉัย และหากรับคำวินิจฉัยก็อยู่ที่การเจรจาว่าจะรับมาปฏิบัติอย่างไร
ดร.ปณิธานกล่าวด้วยว่าสังคมต้องแยกให้ชัดว่าผู้ที่เป็นหลักในทีมเจรจาคือกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอาจมีฝ่ายการเมืองร่วมบ้าง ส่วนท่าทีรัฐบาลก็ถือเป็นอีกทีมหนึ่ง โดย ดร.ปณิธานกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องดีที่รัฐบาลมอบให้นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ หัวหน้าทีมทนายของไทยในการสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร มาชี้แจงต่อสภา เพราะหน้าที่ดังกล่าวเป็นของนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ
“ผมมองว่าว่าไม่ใช่เรื่องดีที่ท่านทูตมาพูดในสภา เพราะมันเป็นสิ่งผูกมัดท่าน ท่านหากท่านเป็นทีมเจรจา แต่ถ้าเป็นฝ่ายการเมืองมาแถลง มันจะป็นเรื่องการเมือง เป็นเรื่องในสภา นักการเมืองจะพูดอะไรก็ได้ แต่การเอาท่านทูตวีรชัย มาพูดในสภาถือว่าสุ่มเสี่ยง เพราะการพูดในสภาผูกมัดท่านหากท่านเป็นทีมเจรจา แต่ถ้า ส.ส. พูด จะไม่ผูกมัด เพราะ ส.ส. พูดอะไรก็ได้ ท่านทูตวีรชัยเองก็ไม่ได้นอนมาหลายวัน และท่านอาจไม่ชำนาญกับการโต้ตอบในสภา ผมว่าประเด็นนี้สังคมต้องเฝ้ามอง” ดร.ปณิธานระบุ
ส่วนกรณีพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร ไทยเสียเปรียบหรือไม่ ดร.ปณิธานตอบว่า พื้นที่ดังกล่าวยังถือเป็นข้อพิพาทที่ต้องเจรจา ย้ำว่าอย่างไรก็ต้องเจรจา มันยังไม่ยุติ แต่ที่ชัดเจนแน่นอนคือกัมพูชาไม่สามารถหยิบยกแผนที่หนึ่งต่อสองแสนมาอ้างกรรมสิทธิ์บริเวณนั้นได้ เพราะศาลบอกว่าไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้น ประเด็นที่ว่าไทยจะเสียพื้นที่เท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่ที่การเจรจาทางการทูต ส่วนกรณีที่ผู้สื่อข่าวถามว่า ท่านทูตวีระชัย บอกว่ายะงมองไปที่เส้น มติ ครม นั้น นายปณิธานตอบว่าไม่ใช่เส้นมติครม แน่นอน แต่กระทรวงต่างประเทศไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้
ดร.ปณิธานกล่าวว่า ในกรณีที่รับคำวินิจฉัยมา ถ้ากัมพูชาได้เปรียบที่สุดคือกัมพูชาได้ประมาณ 1,000 ไร่ ถ้า กรณีที่เราได้เปรียบที่สุดคือเส้นดังกล่าวจะขยับเข้ามาเพียง 200 ไร่ แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่ายังไงก็คงไม่ได้เส้นมติ ครม.เดิม เพราะศาลกำหนดไว้ในย่อหน้า 98 ว่า ลากเส้นบนไปจดแผนที่หนึ่งต่อสองแสน ลากเส้นอีกด้านไปจดภูมะเขือ ดังนั้น ไม่ใช่เส้นมติ ครม. แน่นอน จะเสียเปรียบหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่การเจรจา การลากเส้นเขตแดนบางเส้นอาจใช้เวลาชั่วอายุคน บางเส้นก็ลากได้เร็ว อาจไปจบในอีกหลายปีก็ได้ แต่ถ้าเราไม่ยอม เขาก็อาจรายงานไปที่คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติว่าไทยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา เพราะศาลให้คู่กรณี Good Faith หรือความจริงใจในการปฏิบัติตาม และคณะกรรมการมรดกโลกก็คงรออยู่ว่าเมื่อไหร่กัมพูชาจะเสนอแผน เพราะมรดกโลกเขาก็ต้องประชุมทุกปี ดังนั้น อาจไม่ใช่การเจรจาเขตแดนทั้งหมดก็เป้นได้ ถ้ามีการเจรจาพัฒนาพื้นที่รอบมรดกโลกร่วมกันก่อน แม้จะยังลากแผนที่เขตแดนไม่แล้วเสร็จก็เป็นได้
นอกจากปัญหาพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรแล้ว ดร.ปณิธานกล่าวว่า บริเวณภูมะเขือก็เป็นข้อถกเถียงว่าเป็นของใครแน่ แม้ไทยจะอ้างว่าเป็นของไทยก็ตาม
“ใช่ ศาลบอกว่าภูมะเขือไม่ได้อยู่ในการวินิจฉัย ไม่ได้อยู่ในพรอมอนทอรี่ อันนี้ชัดเจน ว่าพรอมอนทอรี่ มันไปจรดที่ตีนภูมะเขือ ภูมะเขือเป็นของใครยังเถียงกันอยู่ ก็ต้องเจรจากัน แต่อาณาบริเวณตัวประสาทนั้นไม่ใช่ภูมะเขือ ข้อนี้ก็ทำให้เราได้เปรียบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ภูมะเขือ เพราะภูมะเขือก็มีทหารของกัมพูชาอยู่ ก็ต้องเจรจา การจะทึกทักว่าเราได้ภูมะเขือแล้วก็ไม่ถูก อยู่กับเราว่าเราจะถอนทหารตรงบริเวณใกล้เคียงอย่างที่ศาลสั่งไหม ก็ไม่ชัดเจนว่าเราจะถอน นี่เป็นตัวอย่างของการเห็นไม่ตรงกัน”
ส่วนแผนที่กรมแผนที่ทหาร L 7018 ที่ระบุชัดว่า ภูมะเขือเป็นของไทยจะสามารถนำมาเป็นหลักฐานยืนยันได้หรือไม่นั้น ดร.ปณิธานตอบว่าไม่ว่าแผนที่อะไร สัดส่วนเท่าไหร่ก็ต้องเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจาของทั้งสองประเทศ คือ JBC กรรมการเขตแดนร่วม ซึ่งในกรณีนี้ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะที่ผ่านมากัมพูชาไม่ยอมกลับเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจาระหว่างสองประเทศนี้
“จริงๆ แล้ว เอ็มโอยู 43 และ เจบีซี มันคือการที่ทั้งสองประเทศต้องเอาหลักฐานมาวางกัน ซึ่งเมื่อแผนที่ 1 : 200,000 นั้นศาลไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้น หลักฐาน ระวางอื่นๆ ของเราอาจจะมีน้ำหนักมากขึ้น แต่ปัญหาคือกัมพูชาปฏิเสธการเจรจาแบบนี้มาตลอด”
ดร.ปณิธาน กล่าวย้ำด้วยว่า ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดคือประชาชนคนไทยไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการปกป้องเขตแดน ดังนั้น ในกรอบการเจรจา รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยต้องได้ประโยชน์ และกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ ต้องไม่มายุ่งเกี่ยวกับการเจรจา รัฐบาลต้องให้ความเชื่อมั่นกับประชาชน ต้องไม่ให้ประชาชนคิดว่าไทยอาจยอมเสียเปรียบ แต่จะมีคนบางคน อาจได้ประโยชน์เข้ากระเป๋า เช่น สัมปทานน้ำมัน เรื่องเหล่านี้อย่าให้เกิดขึ้น รัฐบาลต้องชัดเจนและระมัดระวัง ประเด็นต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กัน คือรัฐบาลต้องตามเกมกัมพูชาให้ทัน เพราะกัมพูชามีประสบการณ์ในการต่อสู้เรื่องนี้และเขาก็หาช่องทางต่างๆ ผมคิดว่าเบื้องต้นคงมีการตกลงกันระหว่างสองประเทศว่าจะไม่แถลงว่าจะมีการแพ้ชนะกัน แต่เมื่อคำวินิจฉัยออกมา กัมพูชากลับแถลงว่าชนะ
“เมื่อกัมพูชาดำเนินการเชิงรุกแบนี้ ต้องระวัง ยิ่งเขาเห็นความวุ่นวายทางการเมืองของเรา กัมพูชาเขาก็ยิ่งรุก แถลงว่าเขาชนะ เราก็ต้องเปลี่ยนท่าทีเป็นขอศึกษาคำวินิจฉัยก่อน แล้วกัมพูชาก็มีทีท่าแสดงออกไปว่าเราเบี้ยว เราไม่รักษาคำพูด ดังนั้นรัฐบาลต้องทันเกม ว่าจะดำเนินท่าทีอย่างไร ให้เราไม่เสียเปรียบ”
ดร.ปณิธานกล่าวว่ารัฐบาลควรต้องรับฟังและระดมความคิดเห็นของประชาชนทั้งประเทศ เพราะคนไทยทุกคนเป็นจ้าของพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน โดยตนเห็นว่าอาจต้องมีการทำประชามติต่อไปในอนาคต
สุดท้าย ดร.ปณิธานย้ำว่าถึงกลยุทธ์ทางการทูตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการชี้ชะตา กำหนดเขตแดนรอบปราสาทเขาพระวิหารว่า
“เมื่อก่อน คะแนนทางการทูตดีของเราเคยอยู่ในระดับที่ดีมาก การทูตเราแหลมคมมาก เราสามารถเอาตัวรอดจากการตกเป็นอาณานิคม เราประคับประคองตัวเองจากยุคสงครามเย็นและกลับไปเป็นมิตรกับจีนได้ด้วย เราเป็นตัวอย่างที่ดีมากของหลายประเทศที่รักษาอธิปไตย รอดพ้นปัญหา แต่ตอนนี้การทูตเรามีปัญหาพอสมควร แต่ก็ยังไม่วิกฤติถึงขั้นอิหร่าน อิรัก ที่กลยุทธ์ทางการทูตทำให้เกิดสงคราม นั่นเขามีการทูตที่ไม่ดี แต่ของเรา จากที่เคยดีกว่านี้ ในวันนี้ก็ถือว่าน่าผิดหวัง” ดร.ปณิธานระบุ
ภาพประกอบ - ปณิธาน วัฒนายากร จากเว็บไซต์ thaipublica.org
