“จุฬาฯ”ไว้อาลัยผู้ตายเหตุปะทะหน้าม.รามฯ จี้ทุกฝ่ายหยุดความรุนแรง
“จุฬาฯ” ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุการณ์ความไม่สงบหน้า ม.รามฯ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายอย่าใช้ความรุนแรง ขอให้หน่วยงานดูแลรักษาความปลอดภัยและมั่นคง ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ-ศูนย์เอราวัณ ยอดเสียชีวิตจุดปะทะ ม.รามฯ 3 ศพ

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่บริเวณ ม.รามคำแหง เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยระบุว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรู้สึกกังวลใจที่เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ รวมทั้งขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ถูกกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน ม.รามคำแหง ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาและเป็นหน่วยงานแห่งหนึ่งของรัฐ
“จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ยั่วยุให้มีการใช้ความรุนแรงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งขอให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยและความมั่นคงทุกหน่วยงานปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ชีวิต ร่างกาย และสวัสดิภาพของประชาชน” แถลงการณ์ดังกล่าว ระบุ
อนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2556 เกิดเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนเสื้อแดง และกลุ่ม นศ.รามคำแหง โดยศูนย์เอราวัณ ได้สรุปว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 57 ราย
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 1 ธันวาคม 2556 ศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร รายงานชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุปะทะที่บริเวณใกล้เคียง กกท.และมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาว่าขณะนี้มีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 57 ราย และมีผู้เสียชีวิต 3 ราย คือนายทวีศักดิ์ โพธิแก้ว อายุ 21 ปี ถูกยิงที่ชายโครงขวา และนายวิษณุ เภาพู่ อายุ 26 ปี ถูกยิงที่บริเวณหน้าอก ทั้งคู่เสียชีวิตที่โรงพยาบาลรามคำแหง และนายวิโรจน์ เข็มนาค อายุ 43 ปี เสียชีวิตที่สถาบันนิติเวช
สำหรับผู้บาดเจ็บทั้ง 58 รายนั้น มี 6 รายอยู่ที่ รพ.รามคำแหง 15 รายอยู่ที่ รพ.แพทย์ปัญญา 4 รายอยู่ที่ รพ.เพชรเวช 1 รายอยู่ที่ รพ.จุฬารัตน์ 9 12 รายอยู่ที่ รพ.ราชวิถี 7 รายอยู่ที่ รพ.วิภาราม 8 รายอยู่ที่ รพ.รามาธิบดี 2 รายอยู่ที่ รพ.คามิลเลียน 1 รายอยู่ที่ รพ.นพรัตนราชธานี 1 รายอยู่ที่ รพ.เปาโลโชคชัย 4 และอีก 1 เป็นพลทหาร อยู่ รพ.พระมงกุฏเกล้า
