จาก"ม็อบเสื้อแดง"ถึง"นกหวีด"ความเหมือนที่แตกต่าง"คำสั่ง"ป้องปราม"ฝูงชน"
"..หวังว่าเหตุการณ์ปะทะในวันนี้ จะไม่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์นองเลือดเมื่อเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 ที่ปลิดชีวิตคนเสื้อแดงไปเกือบ 100 ศพ หรือย้อนไปไกลกว่านั้นคือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่ปลิดชีวิตนักศึกษาเพียงเพราะมีความเห็นต่างทางอุดมการณ์ และที่แย่กว่านั้นคือมีการใส่ร้ายป้ายสีเพื่อสุมไฟความเกลียดชังให้โหมทวีขึ้นไปอีก.."

พลันที่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นที่ “ม.รามคำแหง” ในช่วงหัวค่ำคืนวันที่ 31 พฤศจิกายน 2556 เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายก็เริ่มขยายวงอย่างกว้างขวางและยาวนานมาจนถึงช่วงเช้าวันที่ 1 ธันวาคม ที่ “สุเทพ” สั่ง ‘พลพรรคนกหวีด’ ตีตราทัพเคลื่อนพลไปบุกยึดกระทรวงสำคัญต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของ “กปปส.”
ในช่วงสาย ขบวน ‘ม็อบนกหวีด’ เคลื่อนพลไปจนถึงจุดยุทธศาสตร์สำคัญ 3 จุด คือ “ทำเนียบรัฐบาล”, “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)” และ “กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.)” ซึ่งคลาคล่ำไปด้วย ‘เจ้าหน้าที่ตำรวจ’ ที่เฝ้ารอขบวนม็อบเดินทางมาถึงอย่างใจจดจ่อ หลังมีคำสั่งจาก “รัฐบาล” ให้ป้องกันสถานที่สำคัญเหล่านี้
เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ยอมให้พลพรรคม็อบนกหวีดย่างกรายเข้าจุดยุทธศาสตร์นี้ได้แม้เพียงปลายก้อย เมื่อเห็นดังนั้นอารมณ์พลุ่งพล่านที่เก็บกดมานานก็ปะทุขึ้น
‘แก๊สน้ำตา’ ถูกยิงขึ้นหลายนัด เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามที่จะล้มแบร์ริเออร์ฝ่าเข้ามาในสถานที่สำคัญเหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีการ ‘ฉีดน้ำแรงดันสูง’ เข้าใส่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการผลักกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าได้แล้ว ยังเป็นการ “ช่วยเหลือ” อย่างกราย ๆ เนื่องจากน้ำจะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนเมื่อถูกแก๊สน้ำตาได้
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้สังเกตถึงวิธีการป้องปราม - สลายการชุมนุมในครั้งนี้ กับ ”ม็อบคนเสื้อแดง” เมื่อครั้งเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 ซึ่งวัตถุประสงค์ของกลุ่มผู้ชุมนุมมีความคล้ายคลึงกันคือ “ต่อต้านรัฐบาล”
โดยการชุมนุมครั้งนั้นจบลงด้วย “ความตาย” ของคนเสื้อแดงเกือบ 100 ศพ และมีผู้บาดเจ็บกว่า 2,000 คน !
คำถามคือ รัฐบาลต้องใช้หลักอะไรในการป้องปราม - สลายการชุมนุม ?
นายปกรณ์ นิลประพันธ์ นักกฎหมายกฤษฎีกา ได้เขียนบทความเรื่อง “หลักสากลในการใช้กำลังและอาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐในการยุติการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” โดยส่วนหนึ่งของบทความดังกล่าว ระบุว่า หากพิจารณา Code of Conduct for Law Enforcement Officials (ประมวลกฎปฏิบัติของเจ้าพนักงานของรัฐ) ของสหประชาชาติ จะพบว่าในมาตรา 3 กำหนดกรอบการใช้กำลัง (use of force) ของเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าให้กระทำได้เพียงเฉพาะกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่ง และเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น กรณีจึงเห็นได้ชัดว่าการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเป็นกรณียกเว้นและมาตรการที่ใช้ต้องไม่เกินกว่าเหตุหรือต้องได้สัดส่วนด้วย
นอกจากนี้ใน Policing Unlawful Assemblies (หลักในการจัดการการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย) ได้ระบุว่า ถ้าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง (Unlawful but non-violent) เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง (use of force) หรือหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้กำลังได้ ให้ใช้กำลังเพียงเท่าที่จำเป็น
“แต่ถ้าเป็นการชุมนุมที่ก่อให้เกิดความรุนแรง (Violent assemblies) เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจใช้อาวุธได้ (use firearms) หากไม่สามารถใช้มาตรการอื่นที่อันตรายน้อยกว่านี้ได้”
ส่วนกฎการใช้อาวุธนั้น ข้อ 10 ของ Basic Principles of the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials (หลักการพื้นฐานการใช้กำลังและอาวุธปืนโดยเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย) วางหลักไว้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐต้องแสดงตนก่อนการใช้อาวุธและต้องแจ้งเตือนให้ทราบล่วงหน้าว่าจะมีการใช้อาวุธ เว้นแต่การดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเสี่ยงที่จะได้รับอันตราย
คำถามต่อมาคือ การป้องปราม - สลายการชุมนุมถือว่าเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ?
ทั้งนี้ในคู่มือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหลักสิทธิมนุษยชน ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ว่าด้าวยการควบคุมฝูงชน/การปราบจราจล ระบุว่า การปราบจราจลต้องคำนึงถึงหลักสิทธิเสรีภาพและหลักสิทธิมนุษยชนในการใช้กฎหมาย และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาควบคุมดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อย
“ทั้งนี้การดำเนินการควบคุมฝูงชนของเจ้าพนักงานจะต้องยึดหลักปฏิบัติภายในขอบเขตของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ และจะต้องคำนึงถึงหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด และหลักสิทธิมนุษยชนสากลอีกส่วนหนึ่งด้วย”
นอกจากนี้ ประชาชนทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่ต้องชุมนุมให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
ขณะที่แนวทางในการปฏิบัติการควบคุมฝูงชนและการสลายฝูงชนสามารถกระทำได้ แต่ !
1.ให้ประกาศแจ้งเตือนว่าการชุมนุมดังกล่าวผิดกฎหมาย
2.ให้แจ้งเตือนถึงกำหนดเวลาและเส้นทางการออกจากที่ชุมนุม
3.นโยบายของ สตช. จะใช้วิธีการจับกุมแกนนำ และกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ยอมออกจากที่ชุมนุมตามคำสั่งเตือนดังกล่าว มากกว่าที่จะใช้กำลังสลายการชุมนุม
4.ใช้กระบวนการแสวงหาข้อตกลงทางยุทธวิธี ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายและการยอมรับของสังคม
5.จะต้องพิจารณาและรับผิดชอบถึงขั้นตอนที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปไม่ได้รับอันตรายจากผู้ชุมนุม
6.เมื่อสลายการชุมนุมจะต้องแน่ใจว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะไม่ถูกผลักดันไปในพื้นที่อันตราย
7.การไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องกระจายเสียงเดินพราเหรดในทางสาธารณะ ไม่เป็นเหตุเพียงพอที่ถือว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย
8.ถ้าเจรจาหรือประกาศให้ฝูงชนเลิกมั่วสุมไม่เป็นผล และตกลงใจที่จะใช้เทคนิคใดสลายฝูงชนต้องเริ่มจากเบาไปหาหนัก โดยต้องใช้ตามลำดับตามความรุนแรงของสถานการณ์หรือความปลอดภัยของผู้ชุมนุมและตำรวจ
ส่วนขั้นตอนการสลายการชุมนุมตามหลักประมวลกฎปฏิบัติของเจ้าพนักงานของรัฐ และหลักการพื้นฐานการใช้กำลังและอาวุธปืนโดยเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ตามหลักสหประชาชาติ มีอยู่ 12 ข้อ
1.ต้องมีการประกาศเตือนอย่างชัดเจนก่อนจะเข้าไปสลายการชุมนุม
2.เมื่อฝูงชนไม่มีท่าทีสลายการชุมนุม (โดยให้ระยะเวลาหนึ่ง) เจ้าหน้าที่อาจจำเป็นต้องใช้น้ำฉีดใส่ฝูงชน
3.หากยังไม่มีการสลายตัว เจ้าหน้าที่ต้องประกาศถึงขั้นตอนต่อไปด้วยการใช้แก๊สน้ำตา
4.ใช้แก๊สน้ำตาที่ไม่เป็นอันตราย
5.เมื่อไม่เป็นผล จำเป็นต้องใช้กระบองเข้าควบคุมฝูงชน
6.การใช้กระบองกับฝูงชนต้องตีไปในส่วนที่ไม่เป็นอันตราย
7.หากยังไม่มีการสลายตัวอีก ต้องประกาศเตือนถึงการใช้อาวุธปืนด้วยกระสุนตาข่ายและกระสุนยางตามลำดับ
8.หากสถานการณ์ยังทวีความรุนแรงมากขึ้น เจ้าหน้าที่อาจประกาศให้ใช้กระสุนจริง แต่จะไม่ใช้จนกว่าจะจวนตัวมากจริง ๆ
9.เจ้าหน้าที่ไม่สามารถที่จะยิงขึ้นฟ้าหรือเหนือศีรษะของฝูงชนได้
10.เจ้าหน้าที่ต้องพยายามรักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับฝูงชนเพื่อความปลอดภัย
11.หากจำเป็นต้องยิงจริง ๆ ควรเล็งยิงในที่ต่ำ และต้องยิงในส่วนฝูงชนที่มีลักษณะของการใช้ความรุนแรงมากที่สุดเท่านั้น
12.แผนกปฐมพยาบาลจะต้องเตรียมการไว้เสมอเพื่อนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
ข้อกฎหมายและคู่มือต่าง ๆ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า “การป้องปราม - สลายการชุมนุม” นั้นสามารถ “ทำได้” แต่ต้องใช้วิธีการอย่าง “อะลุ่มอล่วย” ค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญคือต้องไม่มีเจตนา “ปลิดชีวิต” ของผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้น่าสังเกตว่าในกฎหมายสากลมีการระบุว่า "จะต้องประกาศเตือนให้ผู้ชุมนุมสลายตัว ก่อนจะใช้มาตรการยิงแก๊สน้ำตา" ทว่า เหล่าแกนนำม็อบนกหวีดพยามที่จะพูดปลุกระดมมวลชนว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการประกาศแจ้งเตือน ซึ่งข้อมูลนี้ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ ต้องตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ "มีคนตายแล้ว" และ 'กระสุน' ก็ออกมาจากกระบอกปืน ในเหตุการณ์ปะทะบริเวณม.รามคำแหง
ไม่ต่างจากโศกนาฏกรรมที่ "ม็อบเสื้อแดง" โดนไม่ผิดเพี้ยน
ขณะที่ปฏิบัติการ "เดินอารยะ" ของกลุ่มผู้ชุมนุม ในการบุกยึดสถานที่ราชการสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะ ทำเนียบรัฐบาล บชน. สตช. ก็ “เปราะบาง” และพร้อมจะถึงจุด “แตกหัก” ได้ทุกเมื่อ
โดยเฉพาะเมื่อเวลาล่วงเข้าสู่กลางคืนที่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครเป็นใคร?
หวังว่าเหตุการณ์ปะทะในวันนี้ จะไม่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์นองเลือดเมื่อเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 ที่ปลิดชีวิตคนเสื้อแดงไปเกือบ 100 ศพ หรือย้อนไปไกลกว่านั้นคือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่ปลิดชีวิตนักศึกษาเพียงเพราะมีความเห็นต่างทางอุดมการณ์ และที่แย่กว่านั้นคือมีการใส่ร้ายป้ายสีเพื่อสุมไฟความเกลียดชังให้โหมทวีขึ้นไปอีก
และหวังอีกว่าคราวนี้จะไม่มีแคมเปญ Together We Can เพื่อล้างเลือดใครอีกครั้ง !
ภาพประกอบจาก ไทยรัฐ
