จับตาบทบาท“บ้านเลขที่ 109”หลังวันปล่อย"ผี"-กำลังเสริม"ยิ่งลักษณ์"?
"..น่าสนใจว่า ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังคับขัน อยู่ในขณะนี้ สมาชิกบ้านเลขที่ 109 จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างไร โดยเฉพาะในฝั่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กำลังถูกรุกไล่จากมวลมหาประชาชน ภายใต้การนำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.ปชป. อยู่ในขณะนี้.."

และแล้วก็ถึงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2556 วันที่สมาชิก “บ้านเลขที่ 109” จะเป็นอิสระจากพันธนาการทางการเมือง กรณีถูกยุบพรรคการเมืองพร้อมเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี หรือที่เรียกแซวกันทั่วไปว่า “วันปล่อยผี”
ด้วยหลายคนเป็นขุนพลตัวสำคัญในหน้ากระดานการเมืองไทย
บ้างก็ต้องการหวนกลับสู่สนามต่อ บ้างก็ติดใจบทบาทหลังฉากคอยควบคุมบังคับบัญชาผู้เล่นฉากหน้าในตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ หรือบางส่วนก็สนใจลงสมัครรับเลือกตั้งวุฒิสภาซึ่งเป็นบทบาทในสภาสูง
เพื่อให้เข้าถึงที่มาที่ไปของสมาชิก “บ้านเลขที่109” ขอสาวประวัติคร่าวๆให้ทราบกันดังนี้
“บ้านเลขที่ 109” เป็นคำศัพท์ทางการเมืองไทย ที่ใช้เรียกอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน, พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ตามคำวินิจฉัยในคดียุบพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โดยศาลรัฐธรรมนูญ
“บ้านเลขที่ 109” เป็นคำศัพท์ทางการเมืองที่บัญญัติตามคำว่า “บ้านเลขที่ 111” ซึ่งเป็นคำเรียกคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองจากกรณียุบพรรคไปก่อนหน้านี้ โดยตัวเลข 109 มาจากพรรคพลังประชาชน จำนวน 37 คน พรรคชาติไทย จำนวน 43 คน และ พรรคมัชฌิมาธิปไตย จำนวน 29 คน รวมเป็นจำนวน 109 คน แต่ในจำนวนนี้ มี 2 คน ที่มิได้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง คือ นายวีระพล อดิเรกสาร และนายพิเชษฐ์ ตันเจริญ ซึ่งลาออกจากคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งไม่เข้าข่ายต้องรับความผิดตัดสินโทษ
เมื่อย้อนกลับไป “บ้านเลขที่ 109” ถือดำเนิดขึ้นจากคดียุบพรรคการเมืองเมื่อ พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นคดีที่เป็นคดีที่พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย และ พรรคพลังประชาชน ที่ได้ 2 ใบแดง ถูกฟ้องเป็นจำเลยอันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนข้อกล่าวหากรณีที่พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีหรือตัวแทนของพรรคไทยรักไทยซึ่งได้ถูกตัดสินให้ยุบพรรคไปแล้วเมื่อ พ.ศ. 2550 คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.)ได้สรุปว่าปรากฏหลักฐานเพียงพอที่พรรคพลังประชาชนเข้าข่ายเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย แต่ได้ยกคำร้องเพราะไม่มีกฎหมายเอาผิด จุดเริ่มต้นจากมีการเลือกตั้งทั่วไปส.ส. ในพ.ศ. 2550
ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้เพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคของแต่ละพรรคเป็นเวลา 5 ปี จากนั้นต่อมา กกต. มีความเห็นว่าทั้ง 3 พรรคกระทำความผิดตามมาตรา 237 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุ.ศ. 2550 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา111 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 94 (1) (2) และมาตรา 95 โดยกกต.ตั้งได้ส่งสำนวนต่ออัยการสูงสุดเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค
โดยคำร้องให้ยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย หลังการเลือกตั้ง กกต.ได้พบการทุจริต มีการให้ใบแดงและพิจารณาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองเลขาธิการพรรคชาติไทย กับนายสุนทร วิลาวัลย์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย จากนั้นวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2551 กกต.มีมติด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 (มติเสียงข้างน้อย 1 เสียงในทั้งสองกรณี คือ นายสมชัย จึงประเสริฐ) เห็นชอบตามที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เสนอความเห็นให้ส่งสำนวนเรื่องการยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยให้อัยการสูงสุดพิจารณา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้สรุปก่อนหน้านั้นว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนอื่นในทั้งสองพรรค ไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำผิดของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา และนายสุนทร วิลาวัลย์ แต่การที่ทั้งสองคนต่างก็เป็นกรรมการบริหารพรรคเสียเอง กกต.จึงพิจารณาตามมาตรา 237 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ 2550 และมาตรา 103 วรรคสอง ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ซึ่งบัญญัติไว้ตรงกันว่า ถ้าการกระทำดังกล่าวปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบแล้วไม่ได้ยับยั้งหรือแก้ไข เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการซึ่งให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้นายทะเบียนพรรคการเมือง (ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง) ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 95 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ไม่อาจใช้ดุลยพินิจในการเลือกที่จะแจ้งหรือไม่แจ้งต่ออัยการสูงสุด ส่วนกรณีที่พรรคมัชฌิมาธิปไตยแย้งว่านายสุนทร วิลาวัลย์ ได้พ้นจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคแล้ว เนื่องจากการลาออกของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งทำให้กรรมการบริหารพรรคทั้งคณะสิ้นสุดลงพร้อมกันด้วยนั้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เห็นด้วย เนื่องจากพบว่าข้อบังคับพรรคข้อ 30 วรรค 5 ได้ระบุให้กรรมการบริหารพรรคอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่ากรรมการชุดใหม่จะเข้ามารับหน้าที่
ด้านคำร้องให้ยุบพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 กกต.มีมติด้วยเสียงข้างมาก 3 ใน 5 (งดออกเสียงหนึ่งเสียง) ให้ใบแดงและส่งความเห็นไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ส.ส.แบบสัดส่วน ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา เนื่องจากพบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งที่จังหวัดเชียงราย โดยมีนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน เป็นพยานคนสำคัญ คดีทุจริตเลือกตั้งนี้เกิดจากนายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติไทย นำหลักฐานเป็นวีซีดี กล่าวหาว่านายยงยุทธเรียกกำนัน 10 คน ในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นำโดยนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ เดินทางไปพบที่กรุงเทพฯ ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 และเข้าพักที่โรงแรมเอสซีปาร์ค นายยงยุทธขอให้กำนันช่วยเหลือตนและน้องสาว ตลอดจนนายอิทธิเดช ผู้สมัคร เขต 3
จากนั้นคนสนิทของนายยงยุทธได้มอบเงินให้กำนันคนละ 20,000 บาท นายยงยุทธได้ออกมาตอบโต้ตลอดเวลาว่าเป็นการจัดฉาก ถูกสร้างพยานหลักฐานเท็จ ด้าน กกต. กล่าวว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับซีดีเพราะมีพยานบุคคลที่ยืนยันชัดเจน หลัง กกต.มีมติ นายยงยุทธได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาโดยไม่ลาออก
ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง วินิจฉัยว่ากรณีที่นายยงยุทธให้เงินกับกำนัน อ.แม่จัน ทั้ง 10 คน เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจริงตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ จึงพิพากษายืนตามมติของ กกต. และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธเป็นเวลา 5 ปี ขณะที่ กกต.เตรียมดำเนินการต่อ โดยสรุปสำนวนส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เสนอยุบพรรคพลังประชาชนต่อไป
นอกจากนี้ยังมีกรณีพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนพรรคไทยรักไทย โดยนายวีระ สมความคิด ประธานอำนวยการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) และนายประสิทธิ์ ดอนโพธิ์งาม ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้ยื่นคำร้องขอให้ กกต.พิจารณาพฤติกรรมของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ว่ามีการกระทำเข้าข่ายเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย หรือไม่ โดยกกต.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้น โดยมีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน คณะอนุกรรมการให้เจ้าหน้าที่ กกต.ประสานงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเปิดโอกาสให้ไปชี้แจงกรณีที่ถูกพาดพิง และ กกต.เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการขยายเวลาสอบสวนไปอีก 15 วันนับตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2551
ต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม 2551 กกต.พิจารณากรณีดังกล่าวโดยแบ่งเป็นสองประเด็น คำร้องของนายประสิทธิ์นั้น กกต.มีมติ 4 ต่อ 1 ให้ยกคำร้อง เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดได้ ส่วนคำร้องของนายวีระ กกต.มีมติ 3:1:1 สามเสียงเห็นว่าปรากฏหลักฐานเพียงพอที่พรรคพลังประชาชนเข้าข่ายเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายแล้วไม่เข้าข่ายมีความผิดตามมาตราใดของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หนึ่งเสียงเห็นว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดและไม่มีพฤติการณ์เข้าองค์ประกอบความผิด ส่วนอีกหนึ่งเสียงเห็นว่าควรแจ้งนายทะเบียนพรรคดำเนินการตรวจสอบต่อ
ทั้งนี้สำหรับการไต่สวนและคำวินิจฉัย ซึ่งผู้พิพากษาคดียุบพรรคการเมืองมีทั้งหมด 9 คน ซึ่งทั้งหมดได้แก่ นายชัช ชลวร ประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายจรูญ อินทจาร นายเฉลิมพล เอกอุรุ นายนุรักษ์ มาประณีต นายบุญส่ง กุลบุปผา นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ นายสุพจน์ ไข่มุกต์ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ไต่สวนพยานวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 มีตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วมรับฟังพร้อมเพรียงพยานพรรคมัชฌิมาธิปไตยจำนวน 20 ปาก และขอเพิ่มเติมอีก 29 ปาก พยานพรรคชาติไทยจำนวน 42 ปาก พยานเทปซีดีคำปราศรัยห้ามซื้อเสียง และพยานเอกสาร 33 รายการ พยานพรรคพลังประชาชนจำนวน 60 ปาก
โดยสรุปคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เวลา 12.00-13.32 น. วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยกรณีอัยการสูงสุดมีคำร้องให้ยุบพรรคพลังประชาชนพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยโดยมีคำสั่งให้ยุบพรรคทั้ง 3 พรรค รวมทั้งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งต่อกรรมการบริหารพรรคเป็นจำนวน 37 คน, 43 คน, และ 29 คน ตามลำดับ มีกำหนด 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญคำสั่งให้ยุบพรรค
สำหรับกรณีของพรรคพลังประชาชน นั้น ตุลาการรัฐธรรมนูญ ระบุว่ากรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคกระทำการฝ่าฝืนและขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ที่มีผลทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริต และได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ต้องร่วมรับผิดชอบ
ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่าคำแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกร้องฟังไม่ขึ้น เนื่องจากนายยงยุทธ เป็นนักการเมืองหลายสมัย มีฐานะเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ย่อมต้องเพิ่มความเข้มงวดที่จะไม่กระทำการใดๆ อันฝ่าฝืนกฎหมาย แต่นายยงยุทธ ติยะไพรัช กลับกระทำผิดเสียเอง นอกจากนี้กรณีที่พรรคพลังประชาชนโต้แย้งว่าได้จัดการประชุมชี้แจงเพื่อกำชับไม่ให้ผู้สมัครของพรรคกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งแล้วก็ตามนั้น ศาลเห็นว่าแม้พรรคจะมีการกระทำดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดในการที่กรรมการบริหารพรรคจะไปกระทำผิดเอง เพราะทำให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้ ส่วนที่มีข้อโต้แย้งว่าผลการสืบสวนของกกต. ละเมิดสิทธิและไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้น ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่า กกต.มีหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาล และได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายมาอย่างถูกต้องแล้ว
สำหรับกรณีของพรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคชาติไทย ในการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของนายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาธิปไตยและนายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรคชาติไทยนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินไปในทิศทางเดียวกันคือวินิจฉัยให้ยุบพรรคและตัดสิทธิเลือกตั้งแก่กรรมการบริหารพรรคคนละ 5 ปี อย่างไรก็ดี ในส่วนข้อโต้แย้งของพรรคมัชฌิมาธิปไตยเกี่ยวกับสถานะภาพการเป็นกรรมการบริหารพรรคนั้น ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่าแม้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จะได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคไปตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550 อันจะมีผลให้กรรมการบริหารพรรคต้องพ้นสภาพไปด้วยก็ตาม แต่ยังมีข้อกำหนดที่ให้กรรมการบริหารพรรคต้องทำหน้าที่รักษาการต่อไปจนกว่านายทะเบียนพรรคการเมืองจะตอบรับการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น จึงถือว่านายสุนทร ยังคงทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาธิปไตย อยู่ในขณะเกิดเหตุ แม้จะมีสถานะภาพเป็นเพียงผู้รักษาการณ์ก็ตาม อันเป็นเหตุให้การกระทำใดๆ ของกรรมการบริหารพรรคที่ขัดต่อพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มีเหตุให้ต้องยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคดังกล่าว
ล่าสุดในช่วงเช้าวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา นักการเมืองสมาชิกบ้านเลขที่ 109 หลายคน เริ่มส่งสัญญาณการกลับเข้ามาเล่นการเมืองอย่างเป็นทางการ
โดยนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในโฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
"วันนี้ความอยุติธรรมจากการตัดสิทธิทางการเมืองเหมาเข่งสิ้นสุดลง ผมได้รับสิทธิคืนแล้วครับ ร่วมกับอีก 109 คน"
น่าสนใจว่า ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังคับขัน อยู่ในขณะนี้ สมาชิกบ้านเลขที่ 109 จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างไร??
โดยเฉพาะในฝั่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กำลังถูกรุกไล่จากมวลมหาประชาชน
ภายใต้การนำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.ปชป. อย่างหนักอยู่ในขณะนี้
00000

รู้จัก “พรรคมัชฌิมาธิปไตย
มีนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เป็นหัวหน้าพรรค นโยบาย : ชีวิตร่ำรวย ประชาเป็นสุข ได้รับความเป็นธรรม ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2550 สีของพรรคใช้สีแดงและน้ำเงิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย เดิมชื่อ พรรคมัชฌิมา เป็นพรรคการเมือง ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มมัชฌิมา ซึ่งนำโดยนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน (ภรรยานายสมศักดิ์ เทพสุทิน) และกลุ่มนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาราช มีนโยบายรวม 42 ข้อ โดยนโยบายหลักๆ ได้แก่ ขุดบ่อน้ำทั้งประเทศ 9 ล้านบ่อ, ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสาย เหลือเพียง 15 บาทเป็นระยะเวลา 10 ปี, ประกันราคาพืชผลทางการเกษตรในราคาที่สูง, เรียนฟรีจนถึงปริญญาตรี เป็นต้น ในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2551กกต.) ได้มีมติให้นายประชัยพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เนื่องจากวินิจฉัยว่า การยื่นใบลาออกของนายประชัยตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550 มีผลโดยสมบูรณ์แล้ว ทั้งนี้อาจเป็นแผนของพรรคนี้ที่จะหลอกใช้เงินของนายประชัยเพื่อใช้ในการเลือกตั้ง และเขี่ยนายประชัยทิ้งเมื่อหมดประโยชน์แล้ว เนื่องจากพรรคต้องการนายทุนที่จะใช้ในการซื้อเสียง และการใช้เงินซื้อเสียงนี้เองเป็นเหตุให้ต้องถูกยุบพรรคในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 หลังจากก่อตั้งพรรคมาได้ไม่นาน จากนั้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ที่ประชุมของพรรคได้มีมติให้ นางอนงค์วรรณ เป็นหัวหน้าคนใหม่สืบไป รวมทั้งได้เปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค โดยมีทั้งหมด 14 คน แต่ยังคงนโยบายเดิม รวมทั้งเปลี่ยนที่ทำการพรรคใหม่
ooooo
(ภาพประกอบจากมติชน)
รู้จัก “พรรคชาติไทย”
มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นหัวหน้าพรรค นโยบาย : สัจจะนิยม สร้างสังคมให้สมดุล (พ.ศ. 2548) ยืนหยัด ชัดเจน (พ.ศ. 2550) คำขวัญ : สามัคคี ก้าวหน้า มั่นคง ก่อตั้งเมื่อ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 พรรคชาติไทยก่อตั้งเมื่อ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 โดยกลุ่มนักการเมืองซอยราชครู นำโดย พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร, พล.ต.ศิริ สิริโยธิน และพล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศในขณะนั้น) โดยที่พรรคชาติไทยมีหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 คน คือ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และนายบรรหาร ศิลปอาชา ในการเลือกตั้งพ.ศ. 2549 พรรคชาติไทยได้ปฏิเสธที่จะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง เพื่อเป็นการคว่ำบาตรพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเป็นการแสดงจุดยืนร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคมหาชน
บทบาทของพรรคชาติไทย มักถูกวิจารณ์ว่าเป็นพรรคชอบเสียบ โดยมักจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่เสมอ ๆ เพื่อประโยชน์ของตน จึงได้รับฉายาว่า "พรรคปลาไหล" โดยมีที่มาจากสไตล์การเล่นการเมืองของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคคนที่ 2 แต่ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 พรรคชาติไทยซึ่งได้เบอร์ 1 ที่นำโดย นายบรรหาร ได้ประกาศก่อนหน้านั้นว่า จะไม่ขอร่วมรัฐบาลกับพรรคไทยรักไทยอีก และใช้สโลแกนในการหาเสียงครั้งนั้นว่า "สัจจะนิยม" ในการเลือกตั้งเมื่อปลายปี พ.ศ. 2550 อันเป็นช่วงวิกฤติการณ์การเมืองในประเทศไทย พรรคชาติไทยโดยนายบรรหาร เป็นที่จับตามองว่าจะไปร่วมรัฐบาลกับทางฝ่ายพรรคพลังประชาชน หรือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทางนายบรรหาร แสดงท่าทีหลายครั้งรวมทั้งได้เคยให้สัมภาษณ์ไปว่า "จะไม่ทำให้ผู้ใหญ่ที่นับถือมากว่า 30 ปี ผิดหวัง" แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อตรง ๆ แต่ก็รับรู้กันว่า หมายถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานองคมนตรี โดยให้เข้าใจว่าจะไม่ขอร่วมรัฐบาลกับทางพรรคพลังประชาชน แต่หลังการเลือกตั้ง พรรคชาติไทยก็ตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลกับทางพรรคพลังประชาชน ทั้งนี้ภายหลังการยุบพรรคชาติไทยแล้ว ส.ศ.และสมาชิกพรรคบางส่วนได้ย้ายไปสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองร่วมกัน
ooooo

รู้จัก “พรรคพลังประชาชน”
มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นหัวหน้าพรรค มีพ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นเลขาธิการพรรค มี นายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 และมี นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นโยบาย : เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยพลังประชาชน ก่อตั้งเมื่อ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 พรรคพลังประชาชน (พปช.) เป็นพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิมแล้วก่อนการเข้าร่วมของกลุ่มส.ส.พรรคไทยรักไทย ภายหลังคดียุบพรรคการเมืองเนื่องจากการเลือกตั้ง 2 เมษายน พ.ศ. 2549 กลุ่มไทยรักไทยเดิมมีมติที่จะส่งอดีต ส.ส.เก่า สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน เพื่อลงรับเลือกตั้งครั้งใหม่ โดยเชิญนายสมัคร สุนทรเวช มาเป็นหัวหน้าพรรคและได้เป็นนายกฯ กระทั่งนายสมัครต้องพ้นตำแหน่งจากคำวินิจฉัยของป.ป.ช.กรณีรับค่าจ้างในรายการชิมไปบ่นไป จากนั้นนายสมชายได้เป็นนายกฯจากการโหวตในสภาต่อ จนกระทั่งเกิดกรณีของนายยงยุทธจนนำไปสู่การถูกยุบพรรคในที่สุด
ooooo
สำหรับสมาชิกของ “บ้านเลขที่ 109” ของทั้ง 3 พรรค มีดังนี้
คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน
1. นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค
2. นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรค
3. พันตำรวจโท กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรค
4. นายไชยา สะสมทรัพย์ รองหัวหน้าพรรค
5. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค
6. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค
7. พลเอก เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ รองหัวหน้าพรรค
8. นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค
9. นายประสงค์ บูรณ์พงศ์ รองหัวหน้าพรรค
10. นางสาวสุภาพร เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรค
11. นายสุวัฒน์ วรรณศิริกุล รองหัวหน้าพรรค
12. นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรค
13. นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ รองเลขาธิการพรรค
14. นายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการพรรค
15. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองเลขาธิการพรรค
16. นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รองเลขาธิการพรรค
17. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เหรัญญิกพรรค
18. ร้อยโท กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรค
19. นายสุธา ชันแสง กรรมการบริหารพรรค
20. นายศรีเมือง เจริญศิริ กรรมการบริหารพรรค
21. นายมงคล กิมสูนจันทร์ กรรมการบริหารพรรค
22. พันตำรวจโท ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ กรรมการบริหารพรรค
23. นายทรงศักดิ์ ทองศรี กรรมการบริหารพรรค
24. นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ กรรมการบริหารพรรค
25. นายนิสิต สินธุไพร กรรมการบริหารพรรค
26. นายธีระชัย แสนแก้ว กรรมการบริหารพรรค
27. นายวีระพล อดิเรกสาร กรรมการบริหารพรรค
28. นายสุทิน คลังแสง กรรมการบริหารพรรค
29. นายอิทธิ ศิริลัทธยากร กรรมการบริหารพรรค
30. นายกิตติกร โล่ห์สุนทร กรรมการบริหารพรรค
31. นายบุญลือ ประเสริฐโสภา กรรมการบริหารพรรค
32. นายพิเชษฐ์ ตันเจริญ กรรมการบริหารพรรค
33. นายมาลินี ภูตาสืบ กรรมการบริหารพรรค
34. นางสาวปิยะรัตน์ เทียนแก้ว กรรมการบริหารพรรค
35. นางสาวศรัญญา แสงวิมา กรรมการบริหารพรรค
36. นางสาวมนัสปรียา ภูตาสืบ กรรมการบริหารพรรค
37. นางสาวกาญจน์ณิชา แต้มดี กรรมการบริหารพรรค
คณะกรรมการบริหารพรรคชาติไทย
1. นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค
2. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรค
3. นายวินัย วิริยกิจจา รองหัวหน้าพรรค
4. นายจองชัย เที่ยงธรรม รองหัวหน้าพรรค
5. นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รองหัวหน้าพรรค
6. นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา รองหัวหน้าพรรค
7. นายนิกร จำนงค์ รองหัวหน้าพรรค
8. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรค
9. นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รองหัวหน้าพรรค
10. นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรค
11. นายเกษม สรศักดิ์เกษม รองเลขาธิการพรรค
12. นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ รองเลขาธิการพรรค
13. นางสาวจณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ รองเลขาธิการพรรคและโฆษกพรรค
14. นายนพดล พลเสน รองเลขาธิการพรรค
15. นายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรค
16. นายธรรมา ปิ่นสุกาญจนะ เหรัญญิกพรรค
17. นายกมล จิระพันธุ์วาณิช กรรมการบริหารพรรค
18. นายกูเฮง ยาวอหะซัน กรรมการบริหารพรรค
19. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ กรรมการบริหารพรรค
20. นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ กรรมการบริหารพรรค
21. นางบุปผา อังกินันท์ กรรมการบริหารพรรค
22. นายบัณฑูรย์ เกียรติก้องชูชัย กรรมการบริหารพรรค
23. นายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ กรรมการบริหารพรรค
24. นายปฐมพงศ์ สูญจันทร์ กรรมการบริหารพรรค
25. นางสาวปอรรัชม์ ยอดเณร กรรมการบริหารพรรค
26. นายมงคล โค้ววัฒนะวงษ์รักษ์ กรรมการบริหารพรรค
27. นายยุทธนา โพธสุธน กรรมการบริหารพรรค
28. นายรัฐกิตติ์ ผาลีพัฒน์ กรรมการบริหารพรรค
29. นายวราวุธ ศิลปอาชา กรรมการบริหารพรรค
30. นายวิพัฒน์ คงมาลัย กรรมการบริหารพรรค
31. นายวิรัช พิมพะนิตย์ กรรมการบริหารพรรค
32. นายวิชิต แย้มบุญเรือง กรรมการบริหารพรรค
33. นายศักดิ์ชัย จินตะเวช กรรมการบริหารพรรค
34. นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง กรรมการบริหารพรรค
35. นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร กรรมการบริหารพรรค
36. นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ กรรมการบริหารพรรค
37. นายสมชาย ไทยทัน กรรมการบริหารพรรค
38. นางสาวสุภัตรา วิมลสมบัติ กรรมการบริหารพรรค
39. นายเอกพจน์ ปานแย้ม กรรมการบริหารพรรค
40. นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล กรรมการบริหารพรรค
41. นายอมร อนันตชัย กรรมการบริหารพรรค
42. นายกฤชชัย มรรคยาธร กรรมการบริหารพรรค
43. นายเสมอกัน เที่ยงธรรม กรรมการบริหารพรรค
คณะกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาธิปไตย
1. นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรค
2. นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ รองหัวหน้าพรรค
3. นายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรค
4. พลตรี อินทรัตน์ ยอดบางเตย รองหัวหน้าพรรค
5. พันตำรวจโท บรรยิน ตั้งภากรณ์ รองหัวหน้าพรรค
6. นายประดุจ มั่นหมาย รองหัวหน้าพรรค
7. นายการุณ ใสงาม รองหัวหน้าพรรค
8. นายธนพร ศรียากูล รองหัวหน้าพรรคและนายทะเบียนสมาชิกพรรค
9. นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา รองหัวหน้าพรรค
10. นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เลขาธิการพรรค
11. นายมนู มณีวัฒนา รองเลขาธิการพรรค
12. ร้อยเอก รชฏ พิสิษฐบรรณกร รองเลขาธิการพรรค
13. นายสมบูรณ์ ทองบุราณ รองเลขาธิการพรรค
14. นายสุวิช ชมพูนุทจินดา รองเลขาธิการพรรค
15. นายศิลปิน บูรณศิลปิน เหรัญญิกพรรค
16. นายณรงค์ พิริยอเนก โฆษกพรรค
17. นายสมพร หลงจิ รองโฆษกพรรค
18. นายศุภพรพงศ์ ชวนบุญ รองโฆษกพรรค
19. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รองโฆษกพรรค
20. พันตำรวจเอก สุเทพ สัตถาผล กรรมการบริหารพรรค
21. นายชุมพร ขุณิกากรณ์ กรรมการบริหารพรรค
22. นายเมธี ฉัตรจินดารัตน์ กรรมการบริหารพรรค
23. นางมาลีรัตน์ แก้วก่า กรรมการบริหารพรรค
24. นายคำนวณ เหมาะประสิทธิ์ กรรมการบริหารพรรค
25. นายกฤษฎา สัจจกุล กรรมการบริหารพรรค
26. นายสุขุม เลาวัณย์ศิริ กรรมการบริหารพรรค
27. นายนาวิน ขันธหิรัญ กรรมการบริหารพรรค
28. นางบุษบา ยอดบางเตย กรรมการบริหารพรรค
29. นายดิษฐ์อัชพณ สูตรสุคนธ์ กรรมการบริหารพรรค
