“สุริชัย หวันแก้ว” เตือน รัฐบาล-สุเทพ อย่ามัวเล่นเกมประลองกำลัง
“ผมว่าถ้าสองฝ่ายนี้เขาหลงคิดไปว่าตัวเองมีอำนาจ มีผู้สนับสนุนมาก ก็โอหังเกินไปหน่อย ภาษาชาวบ้านเรียกอีโก้ คือมัวเมากับอำนาจ”

นายสุริชัย หวันแก้ว ผอ.ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง และอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงทางออกจากวิกฤตการเมืองไทยเวลานี้ กับ “สำนักข่าวอิศรา” www.isranews.org ว่า ขณะนี้สังคมไทยเสมือนว่ามีเพียง 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลและต่างฝ่ายไม่รู้ว่าจะหาทางออกจากความขัดแย้งอย่างไร มีการระดมกำลังมาเล่นเกม แสดงศักดาต่อกัน แนะสังคมไทยมีความซับซ้อนมากกว่าสีขาวหรือดำ ผู้นำและมวลชนแต่ละฝ่ายและทุกภาคส่วนควรร่วมกันแสวงหา "ประเด็น” ทางออกที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง
นายสุริชัยกล่าวว่าสังคมสุดขั้วที่เป็นอยู่ในขณะนี้น่าห่วงใยมาก เพราะคนที่เดินผ่านไป ผ่านมาในสถานที่ที่มีการชุมนุม อาจจะตายได้ง่ายๆ
“คนซื่อๆ บางคน เห็นเขาชุมนุมกัน หากหลงเดินเข้าไปร่วมก็อาจได้รับอันตรายด้วย ซึ่งผมเห็นว่าคนในสังคมที่กังวลกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ มีไม่ใช่น้อย เพราะในความเป็นจริงแล้วสังคมไทยไม่ได้มีแค่ 2 ฝ่าย นี้เท่านั้น สังคมไทยมีความซับซ้อนและมีปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้น” นายสุริชัยระบุ
นายสุริชัยกล่าวว่า ตนอยากจะพูดว่าสังคมไทยมันมีความซับซ้อนมากกว่าคนสองฝ่ายประลองศักดากัน เพราะสังคมนี้ยังมีคนอื่นที่แม้อาจจะยังไม่แสดงตัว แต่เขาก็ไปร่วมกับฝ่ายนู้นบ้าง ฝ่ายนี้บ้าง ฝ่ายที่ยังไม่ออกมาก็ยังมีอีกมาก เพราะสังคมไทยอีกกลุ่มก็อาจคิดว่าทุ่มไปยังไงก็ไม่ชนะขาดก็มีแต่จะลำบากลำบน มันจึงเริ่มมีฝ่ายที่เห็นด้วยกับฝ่ายนี้หน่อยหนึ่ง ฝ่ายนั้นหน่อยหนึ่ง
“แม้แต่อดีตผู้นำรัฐประหารอย่างพลเอกสนธิ ( บุญรัตกลิน ) ผมก็ยังไม่รู้ว่าจุดยืนเขาอยู่ตรงไหน มีเหตุ มีผลอยู่ตรงไหน ในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้น ตอนนี้ สถานการณ์มันอึมครึม แล้วบนความซับซ้อนเหล่านี้ เราจะหาทางออกกันยังไง” นายสุริชัยตั้งคำถาม
นายสุริชัยกล่าวว่า วันนี้ คนในสังคมดูเหมือนเกือบจะลืมไปแล้วว่าฝ่ายที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใด ยังมีเยอะกว่า 16 ล้านเสียงของพรรคเพื่อไทย หรือ 14 ล้านเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่รู้ว่าตอนนี้ ประชาชนคนไทยที่สนุกกับเกมประลองกำลังตอนนี้ ไม่รู้ว่าเหลืออยู่กี่มากน้อย ตนจึงเห็นว่าถ้าสองฝ่ายนี้เขาหลงคิดไปว่า ตัวเองมีอำนาจ มีผู้สนับสนุนมาก ก็โอหังไปหน่อย ภาษาชาวบ้าน คือ อีโก้ คือมัวเมากับอำนาจ อาจคิดไปว่าหากตนจะพูดอะไรกับสังคมไทย คนก็ต้องฟัง
“คุณสุเทพ ก็พูดจาซ้ำซากไปมา คำแถลงก็ไม่ชัดเจน ไม่เป็นรูปธรรม มีเพียงความว่องไวทางการเมือง ไม่มีสติ ไม่ให้ความรู้กับสังคมสักเท่าไหร่ สังคมไทยมันซับซ้อนกว่านั้นมาก คำแถลงที่คุณสุเทพกล่าวมา แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์เองก็ยังไม่แน่เลยว่าที่พูดมานั้นจะทำได้ดีจนน่ามั่นใจได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพรรคเพื่อไทย หรือคุณทักษิณที่ผิดพลาด” นายสุริชัยระบุ
นายสุริชัยกล่าววิจารณ์รัฐบาลพรรคเพื่อไทยด้วยว่า ถ้าคิดว่ามี 16-17 ล้านเสียง แล้วคิดว่านี่คือของตายในมือ ตอนนี้สังคมแสดงให้เห็นว่าคะแนนเสียงนั้น มันไม่ใช่ชัยชนะในมือที่ทำให้ตัวเองอหังการ์ ถ้าคิดว่าเป็นชัยชนะมันก็เป็นภัยกับสังคม เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันเป็นเครื่องเตือนใจครั้งใหญ่ของรัฐบาล ส่วนคนที่ไปชุมนุมที่ราชดำเนิน ผมเชื่อว่าก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยกับสุเทพ และคุณสุเทพอาจจะเกิดความโอหัง อหังการ์ได้เหมือนกัน ดังนั้น บรรยากาศแบบนี้ มันก็ไม่เอื้อให้เกิดการพูดคุย มันเป็นการเสี่ยงอันตราย ให้สังคมเกิดข้างใดข้างหนึ่ง และมันทำให้การเจรจายังไม่ลงตัว
ทั้งนี้ นายสุริชัยกล่าวถึงข้อดีบางประการของสถานการณ์ที่น่าวิตกนี้ก็ว่า อย่างน้อยก็เกิดมิติทางสังคมที่ประชาชนแสดงพลังให้เห็นว่าถ้าผู้มีอำนาจฝ่ายรัฐบาลคิดว่าได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมาแล้วจะมาทำอะไร อย่างไรก็ได้ นั้น ไม่ง่ายอีกต่อไป ส่วนการแสวงหาทางออกหรืออนาคตการเมืองไทยนั้น คงไม่สามารถตัดสินได้บนเวทีการชุมนุม เพราะข้อเสนอของแต่ละฝ่ายไม่ว่านายสุเทพเอง หรือนักวิชาการ อาทิ นายชาญวิทย์ เกษตรสิริ หรือข้อเสนอของที่ประชุมอธิการบดีก็ตาม ตนเห็นว่าแต่ละข้อเสนอควรนำไปสู่การถกเถียง ไม่ใช่สำเร็จรูปล้วนๆ ควรถกเถียงกันที่เนื้อหาสาระ ไม่ใช่เฮไปข้างไหน ข้างหนึ่ง และตนเห็นว่าสังคมไทยไม่ควรจะถูกบังคับโดยนักการเมืองและพรรคการเมืองเพียงแค่ 2 พรรค สังคมไทยควรจะมี พรรคที่ 3 ที่ 4 และไม่มีประวัติด่างพร้อย ไม่มีการฉวยโอกาสทางการเมือง ไม่มีการเห็นแก่พวกพ้อง และต้องเป็นพรรคที่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมและมิติที่ซับซ้อนหลากหลายในสังคม
นายสุริชัยกล่าวว่าพรรคการเมืองทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ เป็นเพียงแค่พรรคระดับ C ไม่ว่าประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทย สังคมไทยไม่ควรจะมีเพียง 2 พรรคนี้ ที่มาชนกันบนท้องถนน สภาพตอนนี้เหมือนสังคมไทยไม่มีทางเลือกที่จะทำให้เรารอดได้ สังคมไทยอยู่ในวิบากกรรมที่ลำบากมาก ทั้งที่เรามีอะไรให้เลือกมากกว่าการถือหางเพียงสองข้างนี้ หรือหากเลือกที่จะถือหางสองข้างนี้ก็ ไม่เป็นไร แต่ก็ควรต้องเรียนรู้ด้วยว่าเราจะออกจากวิบากกรรมนี้ยังไง จะออกจากความรุนแรงรอบใหม่นี้ยังไง เราจะปะทะ จะนองเลือดกันรุนแรงอีกไหม จะมีการใช้อำนาจเหนือกว่าอำนาจปรกติหรือไม่ อย่างไร
“เหตุการณ์นองเลือดคราวที่แล้ว สอบสวนยังไม่เสร็จ ก็เอาใหม่อีกแล้ว พอจะยกโทษให้ประชาชนก็กลายเป็นว่า มีคนโดยสารฟรีมาอีกหลายส่วน และการโดยสารฟรีก็ตัดสินใจตอนตีสี่ ก็เป็นความคึกคะนองของเด็กๆ ที่มันน่ากลัว ดังนั้น ตอนนี้ใครจะถือหางใครและสู้กันอยู่ก็ตาม แต่ผมว่าสังคมไทยควรต้องเรียนรู้ในความขมขื่นตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ไม่มีใครอยากให้มีการฆ่ากันอย่างไร้เหตุผล ไม่อยากให้มีการฆ่ากันแล้วจับมือใครดมก็ไม่ได้ หรือนักการเมืองก็พวกมากลากไป แบบนี้ก็ไม่ไหว สังคมไทยต้องมีนักการเมืองที่กลับตัวกลับให้คนมาศรัทธาต่อรัฐสภา ต้องยอมรับความผิดพลาดและแก้ไข”
นายสุริชัยกล่าวว่ารัฐบาลก็ควรต้องแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจในระยะยาว ต้องแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลคิดทำอะไรอยู่ เช่น การประกาศว่ารัฐบาลอาจจะเตรียมคิดเรื่องการเลือกตั้งครั้งต่อไป เตรียมการปรับปรุงอะไร อย่างไร ตนเห็นว่าช่วงแรกๆ เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ทางเลือกของรัฐบาลยังกว้าง แต่ตอนนี้ ทางเลือกแคบเข้ามาเรื่อยๆ รัฐบาลก็ต้องตอบให้ได้ว่าจะทำอย่างไร จะลดอุณหภูมิความขัดแย้งนี้ลงยังไง ด้วยวิธีไหน
“รัฐบาลต้องมีภาวะของความเป็นผู้นำ ถ้าอยู่ในตรรกะ “กูไม่กลัวมึง” มันจะนำไปสู่การปะทะกันทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม เวลานี้รัฐบาลยังสามารถบริหารบ้านเมืองไปได้อีกหลายเดือน แต่รัฐบาลก็ต้องเร่งตัดสินใจได้โดยเร็ว รัฐบาลต้องรีบคลี่คลายสถานการณ์ เพื่อแสดงให้สังคมเห็นถึงสปิริตของรัฐบาล ให้เห็นวิญญาณของการตัดสินใจ ให้คนรู้สึกว่าเขามีความหวังมากขึ้น จะทำอย่งไรให้คนในรัฐบาลเกิดความตระหนักว่า รัฐต้องสามารถคลี่คลายความรู้สึกตอนนี้ ต้องมีวิญญาณของความกล้าตัดสินใจ”
นายสุริชัยกล่าวอีกว่า สังคมไทยมีอะไรมากกว่าแค่สีขาวหรือสีดำ สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ยังมองได้จากหลายมุมและมองจากหลายวัย
“ไม่ใช่ว่าคนที่คิดไม่เหมือนเรา จะต้องเป็นคนขายชาติ คนที่คิดไม่เหมือนเราจะต้องเป็นคนไม่ดี บางทีคนต่างวัย ต่างภูมิภาค โจทย์ของเขาก็ไม่เหมือนกัน ปัญหาก็ต่างกัน แต่ที่ผ่านมามันเกิดความไม่ไว้ใจรัฐบาลก็เลยคุยกันยาก และตอนนี้สถานการณ์มันก็ยิ่งเอื้อให้เกิดความไม่ไว้วางใจและมีความรุนแรงตามมา เช่นเดียวกัน ความคิดแบบคุณสุเทพที่ต้อง ล้างบ้านเมืองให้สะอาดก็เป็นการคิดแบบผงซักฟอก แต่ที่แน่ๆ คือ ทั้งสองฝ่าย ต้องตกลง ร่วมกันว่าจะฟื้นฟูความเชื่อมั่น ของประชาชนที่มีต่อระบอบประชาธิปไตย และต่อระบอบรัฐสภา ต่อกติกาที่มีอยู่ร่วมกันโดยรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ที่ผ่านมามันมีเรื่องการยอมรับหรือไม่ยอมรับ แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม ความขัดแย้งนี้ก็ผลักให้เกิดกองเชียร์ศาลขึ้นมาด้วย ที่ผ่านมาเรามีการเมือง 2 ขั้วเกินไป มันทำให้สังคมเราสติแตก”
ทั้งนี้ นายสุริชัยกล่าวทิ้งท้ายว่าถึงอย่างไรตนก็ยังเชื่อมั่นในวุฒิภาวะของคนในสังคมไทย แต่การแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งตอนนี้ ต้องขึ้นอยู่กับทุกคน จะถือหางแค่พรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ สื่อสาธารณะก็ควรต้อง ฉายภาพให้เห็นสังคมไทยในมุมอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ที่ราชดำเนิน เพราะไม่เช่นนั้น จะเพิ่มทางเลือกให้กับสังคมไทยได้อย่างไร และสิ่งสำคัญที่สุดคือประชาชนคนไทยต้องช่วยกันสร้างเงื่อนไขหรืออำนาจต่อรองของตนขึ้นมา ตัวละครสำเร็จรูปต้องไม่มีอีกต่อไป ต้องไม่ใช้ภาษายั่วยุ ไม่ใช้คำว่า “กูไม่กลัวมึง” หากความขัดแย้งตอนนี้ยังยืดเยื้อต่อไปก็จะต้องป็นความรับผิดชอบของผู้นำทั้งสองฝ่าย ส่วนกรณีเรื่องอารยะขัดขืนที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลหยิบยกมากล่าวอ้างก็ไม่ควรทำพร่ำเพรื่อ เพราะตอนนี้ก็เกิดคำถามจากคนในสังคมแล้วว่าอารยะตรงไหน คำว่าอารยะขัดขืนกลายเป็นแค่วิธีการหรือกลเม็ดเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วอารยะขัดขืนควรนำมาซึ่งการต่อยอด สร้างประเด็นสาธารณะและประเด็นจริยธรรมทางการเมืองที่เป็นรูปธรรม ดังนั้น จึงต้องระมัดระวัง ว่าอารยะขัดขืนที่นำมาใช้นั้นทำให้ประเด็นสาธารณะที่ควรต้องขับเคลื่อน ถูกลดทอนความสำคัญลงไปเรื่อยๆ หรือไม่
“ความขัดแย้งตอนนี้ อย่าปล่อยให้เป็นเรื่องของกูไม่กลัวมึง สังคมต้องมีสติ ต้องมองหาประเด็นร่วมกัน ทางออกจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ก็อยู่ที่สำนึกทางการเมืองของประชาชน ทำอย่างไร เราจึงจะไม่ใช่แค่เป็นกองเชียร์นกหวีด กองเชียร์มือตบ ทำอย่างไรจะเปลี่ยนสำนึกกองเชียร์ให้เป็นสำนึกพลเมืองที่ไม่ใช่แค่ปรบมือ เป่านกหวีด ตอนนี้ทั้งสังคมและรัฐบาลต้องคิดว่าประเด็นสำคัญที่มีร่วมกันคืออะไร” นายสุริชัยกล่าวทิ้งท้าย
ภาพประกอบ - สุริชัย หวันแก้ว จากเว็บไซต์ www.bangkokbiznews.com
