“ประชา”ตอบกระทู้สภาฯ โชว์ตัวเลข“ตร.”เอี่ยวค้ายาเสพติด
“ประชา” ตอบกระทู้สภาฯ โชว์ตัวเลข “ตำรวจ” เอี่ยวค้ายาเสพติด-16 ปี ยอดรวม 372 คน สั่งดูแลใกล้ชิด งัด 3 มาตรการเชือด "ใครทำผิด" หัวหน้าโดนด้วย!!

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ยาเสพติด” เป็นภัยร้ายแรงอันดับต้น ๆ ของสังคม และคดีอาชญากรรมส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมมักมีต้นตอจากปัญหา “ยาเสพติด”
ขณะเดียวกันในการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดแต่ละครั้ง มักพบว่า “ตำรวจ” มี ‘เอี่ยว’ ในขั้นตอนการค้า และมี ‘เบื้องลึกเบื้องหลัง’ เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติด ไม่มากก็น้อย
ทั้งนี้ นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งกระทู้ถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เรื่องตำรวจค้ายาเสพติด เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2556
โดย นายวัชระ ระบุว่า ปัจจุบันมีข่าวอยู่บ่อยครั้งที่ตำรวจเป็นผู้ค้ายาเสพติด และมีการจับกุมได้ของกลางเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน จึงขอเรียนถาม 3 ข้อ
1.ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบัน มีสถิติการจับกุมตำรวจผู้ค้ายาเสพติดกี่ราย ชื่ออะไร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้มีการลงโทษตำรวจผู้กระทำความผิดอย่างไร และได้มีการติดตามพฤติกรรมของตำรวจเหล่านี้ ว่ากลับมากระทำความผิดอีกหรือไม่
2.ตั้งแต่ปี 2540 – 2556 ได้มีการจับกุมยาเสพติดของกลางได้ทั้งหมดกี่ชนิด แต่ละชนิดจำนวนเท่าใด
3.รัฐบาลจะป้องกันไม่ให้ตำรวจค้ายาเสพติดได้อย่างไร
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ตอบคำถามดังกล่าว
ตอบข้อที่ 1
ข้อมูลของ สตช. ทราบว่า ในช่วงปี พ.ศ.2540 – 2556 มีสถิติการจับกุมตำรวจที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและถูกลงโทษทางวินัย จำนวน 372 คน และได้ดำเนินการลงโทษตามแนวทางการดำเนินงานมาตรการป้องกันและปราบปรามเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างเคร่งครัด
ตอบข้อที่ 2
ข้อมูลของ สตช. ทราบว่า ในช่วงปี พ.ศ.2545 – 2556 มีการจับกุมยาเสพติดของกลางได้หลายชนิด
แต่มีชนิดที่สำคัญและแพร่ระบาดจำนวน 14 ชนิด คือ
1.เฮโรอีน จำนวน 5,742,.25 กิโลกรัม
2.มอร์ฟีน จำนวน 25.4 กิโลกรัม
3.ฝิ่น จำนวน 303,870.59 กิโลกรัม
4.น้ำยาเคมี จำนวน 1,527.79 กิโลกรัม
5.กัญชาสด จำนวน 200,786.11 กิโลกรัม
6.กัญชาแห้ง จำนวน 284,066.67 กิโลกรัม
7.พืชกระท่อม จำนวน 185,699.11 กิโลกรัม
8.ยาบ้า จำนวน 60,568.37 กิโลกรัม (605,683,700 เม็ด)
9.สารระเหย จำนวน 2,829.24 กิโลกรัม
10.เอกซ์ตาซี (ยาอี) จำนวน 121.38 กิโลกรัม
11.โคเคน จำนวน 338.55 กิโลกรัม
12.ไอซ์ จำนวน 6,651.28 กิโลกรัม
13.ยาแก้ไอ จำนวน 4,895 กิโลกรัม
และ 14.วัตถุออกฤทธิ์ จำนวน 2,646.39 กิโลกรัม
ตอบข้อที่ 3
สตช. ได้ดำเนินการตามแนวทางป้องกันและปราบปรามเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดของศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีหลักการโดยสรุปดังนี้
1.ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ได้แก่
1.1 คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 154/2554 วันที่ 9 กันยายน 2554 เรื่องยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ระบุว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนให้ใช้มาตรการทางวินัยที่หน่วยงานมีอยู่ พร้อมทั้งมาตรการทางการปกครองซึ่งผู้บังคับบัญชาต้องร่วมรับผิดชอบด้วย และให้ดำเนินคดีอาญาอย่างเฉียบขาด ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่เป็นผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติดให้ส่งตัวเข้ารับการบำบัดรักษาในโอกาสแรกทันที
1.2 คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 155/2554 วันที่ 9 กันยายน 2554 เรื่องจัดตั้งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ กำหนดให้ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินฯ สามารถมีความเห็นส่งให้หน่วยงานต้นสังกัดหรือมีความเห็นเสนอนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีพฤติการณ์พัวพันเกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้
1.3 คำสั่งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินฯ ที่ 1/2554 วันที่ 22 กันยายน 2554 เรื่อง แผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ.2555 ได้กำหนดกลยุทธ์การดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยปรับบทบาทเจ้าหน้าที่ให้พร้อมทุ่มเทในการทำงานอย่างเต็มที่ มีการควบคุมพฤติการณ์ไม่ให้แสวงหาประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม กำหนดมาตรการทางปกครอง วินัย และอาญา มีการลงโทษอย่างเด็ดขาด และจัดตั้งกลไกรับผิดชอบอย่างชัดเจน
1.4 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 12 ธันวาคม 2553 เรื่อง มาตรการทางการบริหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด พ.ศ.2552 กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง
2.ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
2.1 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519
2.2 พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534
2.3 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522
2.4 ประมวลกฎหมายอาญา
2.5 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
2.6 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2544
3.แนวทางการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและปราบปรามเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ดังนี้
3.1 มาตรการป้องกันเฝ้าระวัง
3.1.1 ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ มีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุนผู้ใต้บังคับบัญชาให้ตระหนักในหน้าที่ ประพฤติตนตามกฎหมาย วินัย และการรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด รวมทั้งประชุมชี้แจงให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความผิดและโทษตามกฎหมาย รวมทั้งมาตรการลงโทษอย่างเด็ดขาด และรุนแรงทั้งทางอาญา วินัย และปกครอง เพื่อป้องกันการกระทำผิด
3.1.2 ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ มีหน้าที่กำกับดูและ ติดตามการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาตามกฎหมายและระเบียบ หากปล่อยปะละเลย หรือจงใจไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือว่าเป็นความผิดทางวินัยของผู้บังคับบัญชาด้วย
3.1.3 ให้โอกาสเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด สามารถเข้ารับการบำบัดรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยไม่ถือเป็นความผิดทางวินัย
3.1.4 เผยแพร่การดำเนินการทางวินัย อาญา และมาตรการทางปกครอง ตลอดจนผลการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำผิด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
3.1.5 ให้ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินฯ ของหน่วยและของพื้นที่ทุกระดับ กำกับติดตามดูแล และให้ผู้บังคับบัญชาของทุกหน่วยรับผิดชอบและตระหนักถึงมาตรการป้องกัน และจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม
3.2 มาตรการปราบปราม
3.2.1 ขอความร่วมมือประชาชนและสื่อมวลชนในการแจ้งเบาะแส หรือร้องเรียนกรณีที่พบเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
3.2.2 กรณีได้รับเรื่องร้องเรียน กล่าวหา หรือทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ให้ผู้บังคับบัญชาเบื้องต้นสืบสวนทางลับให้เสร็จภายใน 30 วัน แล้วรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น เพื่อดำเนินการตามแต่กรณี
3.2.3 เมื่อเจ้าหน้าที่รายใดถูกดำเนินการเกี่ยวกับยาเสพติด ให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นรายงานข้อเท็จจริงกับผู้บังคับบัญชาชั้นต้นเพื่อทราบทันที หากไม่รายงานให้ถือเป็นความผิดทางวินัย
3.2.4 เมื่อเจ้าหน้าที่รายใดถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็นความผิดในคดีอาญา ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งพักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน และพิจารณาดำเนินการทางวินัยร้ายแรง โดยไม่ต้องรอผลการดำเนินคดีอาญา
3.2.5 เมื่อเจ้าหน้าที่รายใดกระทำผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติด ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจนำมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกฉบับมาบังคับใช้อย่างบูรณาการ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างและเพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
อย่างไรก็ตามสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ข้าราชการตำรวจเข้าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดคือ ผู้บังคับบัญชาไม่ควบคุมกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด สตง. จึงมีหนังสือกำชับสั่งการให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นถือปฏิบัติ ดังนี้
1.ให้กวดขัน เข้มงวด กำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด ไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หากยังมีผู้ฝ่าฝืนกระทำผิดให้ดำเนินการทางอาญา และวินัยตามอำนาจหน้าที่อย่างเด็ดขาด และให้พิจารณาสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนทุกราย
2.กรณีผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ให้พิจารณาข้อบกพร่องของผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ตามคำสั่ง สตช. ที่ 1212/2537 วันที่ 1 ตุลาคม 2537 เรื่อง มาตรการควบคุมและเสริมสร้างความประพฤติและวินัยข้าราชการตำรวจทุกนาย
หลังจากเห็นความพยายามออกมาตรการป้องปรามการค้ายาเสพติดของตำรวจจากฝ่ายรัฐบาลแล้ว
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากนี้สถิติการค้ายาเสพติดโดยตำรวจจะลดลงมากแค่ไหน ?
เ้พราะถ้าแก้ไขไม่ได้ เรื่องนี้อาจจะเป็นชนวนเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ว่าทำไมจะต้องมีการปฏิรูปโครงการตำรวจไทย!
