วรเจตน์ ภาคีรัตน์ : ปฏิรูปประเทศ...ไว้ว่ากันหลังเลือกตั้ง
“...พวกที่เสนอให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งคือพวกที่ไม่ต้องการการเลือกตั้ง รวมถึงพวกที่ต้องการคนกลางด้วย เนื่องจากกลัวว่าพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลจะชนะอีก ผมท้าเลยว่าเป็นแบบนี้...”

ภายหลัง พรฎ.ยุบสภา มีผลบังคับใช้ พร้อมระบุวันเลือกตั้ง เป็นวันที่ 2 ก.พ.2557
ข้อเสนอ “ปฏิรูปประเทศ” ก็ถูกหลายฝ่ายโยนเข้ามาไม่ขาดสาย
โดยข้อเสนอ “ปฏิรูปประเทศ” ที่หลายฝ่ายจับตามากที่สุด ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ คือข้อเสนอจากคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่นำโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่ปัจจุบันยังปักหลักยึดครองพื้นที่รอบทำเนียบรัฐบาล
เพราะเงื่อนไขการปฏิรูปของ กปปส.คือจะต้องเว้นวรรคการเลือกตั้ง 1-2 ปี จากนั้นตั้ง “สภาประชาชน” ขึ้นมาปรับเปลี่ยนโครงสร้างประเทศขนานใหญ่ ซึ่งล่าสุด สุเทพได้เปิดเผยระหว่างเข้าหารือกับ 7 องค์กรภาคเอกชน ว่า สภาประชาชนจะมีสมาชิกราว 400 คน โดย 300 คนมาจากเลือกตั้งในกลุ่มวิชาชีพต่างๆ และอีก 100 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ กปปส.สรรหา
ส่วนผู้นำประเทศ อย่าง “นายกรัฐมนตรี” สุเทพประกาศบนเวทีปราศรัยหลายครั้งว่า จะต้องเป็นคนที่เป็นกลาง และเป็นคนดี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายก็ออกมาท้วงติงข้อเสนอของ กปปส.ว่า เป็นไปได้ยาก ด้วยข้อจำกัดทั้งทางสังคม ทางการเมือง และโดยเฉพาะทางกฎหมาย
เพื่อขยายปมเรื่องนี้ให้ชัดขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ต่อสายตรงไปยัง “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะแกนนำสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน และหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์ดังกล่าว
ประเทศไทยควรปฏิรูปอย่างไรและเมื่อใด และการมีนายกฯ คนกลาง จะสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่
ติดตามได้จากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้...
@ ท่าทีของ “มวลมหาประชาชน” ที่ต้องการให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง สามารถทำได้หรือไม่
ในแง่หลักการ ตอนนี้ข้อเสนอปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งนั้น ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ขัดขวางและหน่วงเหนี่ยวการเลือกตั้ง และที่สำคัญถ้าจะเสนอการปฏิรูปนั้น ต้องเสนออย่างเป็นรูปธรรม ส่วนที่ว่าจะปฏิรูปให้เสร็จก่อนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้คือไม่มีหน่วยงานไหนมีความชอบธรรมเพียงพอที่จะปฏิรูปในครั้งนี้ และเห็นว่าหลังการยุบสภา อำนาจนั้นถูกผ่องถ่ายคืนยังประชาชนแล้ว โดยขณะนี้รอเพียงแค่การแสดงออกซึ่งอำนาจในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นี้เท่านั้น
จริง ๆ ผมอยากเห็นมาตั้งนานแล้วการปฏิรูป หรือการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ว่ามันทำตอนนี้ไม่ได้ มันไม่ทันแล้ว ทีนี้คนบอกให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป ข้อเสนอนี้ก็ทำไม่ได้เช่นกัน เพราะอำนาจในทางหลักการถือว่าคืนกลับสู่มือประชาชนแล้ว ไม่มีใครหน่วงอำนาจนี้ได้ เพราะใครหน่วงอำนาจนี้เท่ากับว่าไม่เคารพหลักการประชาธิปไตย
ฉะนั้นใครก็ตามที่ต้องการการปฏิรูป ผมเสนอว่า ให้เสนอมาเลยว่าจะปฏิรูปอะไรบ้าง เป็นนโยบายออกมา คือเสนอลอย ๆ ไม่ได้ และนำนโยบายนั้นผ่านพรรคการเมืองออกไปหาเสียงในสานมเลือกตั้ง หลังจากเลือกตั้งเสร็จจึงเริ่มกระบวนการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ
อย่างดีถ้าเกิดบรรดาพรรคการเมืองต่าง ๆ สัญญากันว่าหลังเลือกตั้งเสร็จจะร่วมมือกันปฏิรูปการเมือง อย่างนี้ทำได้แน่ แต่ช่วงต่อจากนี้ไปต้องเสนอนโยบายไปแข่งกันในสนามเลือกตั้ง ใครแพ้ชนะอย่างไรจะร่วมกันปฏิรูปการเมืองหลังจากเลือกตั้งเรียบร้อย
@ หากการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทย (พท.) ชนะเป็นรัฐบาล แล้วปฏิเสธข้อเสนอปฏิรูปประเทศ จะทำอย่างไร
จะปฏิเสธได้อย่างไร ข้อเสนอปฏิรูปมีอยู่ตลอดเวลา พท.ก็เคยทำ ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนั่นก็คือการปฏิรูปอย่างหนึ่ง แต่ว่าผิดที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่ให้แก้เท่านั้น
เพียงแต่ว่า ประเด็นของการปฏิรูปอาจไม่ได้ตามใจคน เช่น บางกลุ่มต้องการสภาประชาชน ก็จะไปอยู่ในประเด็นที่มีการพูดกัน แต่เสียงส่วนใหญ่อาจจะไม่เอาสภาประชาชนก็ได้ เพราะเวลาปฏิรูปมันไม่ใช่การชี้นำของใครคนใดคนหนึ่ง มันจะเกิดจากการพูดคุยต่าง ๆ กัน และหากมีประเด็นขัดแย้งกันจริง ๆ ก็ต้องใช้วิธีการโหวต ซึ่งอันนี้เป็นกติกาธรรมดา
ผมคิดว่าประเด็นที่ต้องพูดตอนนี้คือการนำไปสู่การเลือกตั้ง ผมเห็นว่าตอนนี้มีหลายคนไม่อยากเห็นการเลือกตั้ง เพราะไม่รู้ว่าหากไม่เลือกตั้งจะเกิดอะไรบ้างกับประเทศ
@ ควรมี “นายกฯคนกลาง” เข้ามายุติปัญหานี้หรือไม่
จะหามาทำไมคนกลาง ช่วงไม่ถึง 2 เดือน จะเอามาทำอะไร ตอนนี้สิ่งที่ประเทศไทยต้องการคือยุติปัญหาที่มันขัดแย้งกันอยู่ผ่านวิธีที่เป็นอารยะคือเลือกตั้ง การเลือกตั้งอาจสร้างความพอใจแก่บุคคลบางกลุ่ม แต่อย่างน้อยมันก็เป็นวิธีที่ทำให้คนไม่ฆ่ากัน
แทนที่จะเอาปืนไล่ยิงกันกลางเมือง คุณไปกากบาทในใบลงคะแนน อย่างนี้เป็นวิธีอารยะ คือการเปลี่ยนอำนาจแบบอารยะ ถ้าไม่ยอมรับวิธีนี้ คุณอยากเห็นบ้านเมืองเกิดสงครามกลางเมืองรบกันเหรอ
จริง ๆ ผมรู้สึกว่า ผมไม่ควรพูดเรื่องที่ว่าต้องมีการเลือกตั้งเลยในเวลานี้ มันเป็นอะไรที่ผิดปกติมากที่ต้องยืนยันประเด็นแบบนี้ในศตวรรษที่ 21 ผมควรเสนอประเด็นแก้รัฐธรรมนูญอย่างไร ปฏิรูปองค์กรต่าง ๆ อย่างไร มากกว่าที่จะต้องบอกว่าต้องมีการเลือกตั้ง
แต่ที่ผมต้องยืนยันเรื่องนี้ เพราะว่าถ้าไม่เกิดการเลือกตั้งเนี่ย ปัญหาของประเทศจะบานปลายไปเยอะมาก เพราะมันจะมีคนไม่พอใจถ้าไม่เกิดการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นการไม่คืนอำนาจให้เขา เขาจะอึดอัดแน่นอน
และคนไม่อยากให้มีการเลือกตั้งคุณกลัวอะไร มันก็มีพรรคการเมือง อย่างของ กปปส. ส่วนใหญ่ก็มีพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เต็มไปหมด ถ้าคุณอยากได้สภาประชาชนก็ไปนำเสนอให้ ปชป. เอาไปหาเสียงในสนามสิ
ผมอยากรู้มากสภาประชาชน มีที่มาอย่างไร จากไหน องค์ประกอบอย่างไร อำนาจหน้าที่เป็นอย่างไร จะถูกถ่วงดุลตรวจสอบโดยใคร ก็เสนอกันขึ้นมาสิว่า หลังเลือกตั้งเราจะมีสภาประชาชน เป็นแบบนี้ อย่างนี้ แล้วให้คนเขาพิจารณา ให้เขาได้คิดตรึกตรองว่าควรเลือกหรือไม่ และสภาประชาชน เป็นไปได้หรือไม่ นี่ไม่ใช่หรือที่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการนำประเทศออกจากปัญหา
หรือไม่อยากให้ประชาชนตัดสินใจ อยากให้อำนาจอยู่ในมือของกลุ่มคนไม่กี่คนที่เรียกว่า “คนกลาง” ผมถามว่าเรามีคนกลางมากี่ครั้งแล้ว มีการปฏิรูป มีคณะกรรมการปฏิรูปกี่ชุดแล้ว เราหมดเบี้ยประชุมหรือหมดเงินไปกับการทำของพวกคณะกรรมการ กี่ร้อยล้าน กี่พันล้านแล้ว ยังจะทำกันแบบนี้อีกเหรอ ผมว่าไม่เวิร์คหรอก คนเขาตื่นรู้กันเยอะแล้ว เขาตระหนักถึงสิทธิ์เสียงของเขาแล้ว อยากปฏิรูปอะไรก็เสนอเอาหลังเลือกตั้ง
@ คิดว่าหลังเลือกตั้งต้องปฏิรูปอะไรบ้าง
อย่างผมหลังเลือกตั้งต้องปฏิรูปรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยกระบวนการแก้ไขทั้งฉบับ มีกระบวนการทำให้โครงสร้างพรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตย มีเรื่องของวินัยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การปฏิรูประบบตุลาการ ปฏิรูปที่มาองค์กรอิสระ ที่มาของวุฒิสภา ปฏิรูปกองทัพ อันนี้คือประเด็นหลัก ๆ
ผมเสนอความเห็นในที่สาธารณะ ไม่ได้ไปเดินขบวนบังคับให้ใครเอาตามผม และถ้าพรรคการเมืองพรรคไหนเห็นด้วยก็อาจหยิบบางส่วนไปเป็นนโยบายก็ได้ในการไปหาเสียง เหมือนกับตอนนี้มีพรรคการเมืองเกิดขึ้น มีพรรคการเมืองต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แบบนี้ เป็นต้น
สมมติว่าประชาชนยังไม่เห็นด้วย พรรคนี้ไม่ได้รับเลือกตั้ง ก็ยังแก้ไม่ได้ ก็ต้องพยายามรณรงค์ด้วยความอดทน อาจอีก 5 ปี 10 ปี 12 ปี หรือ 15 ปี เราก็ไม่รู้ ถ้าเกิดผมบอกว่าปฏิรูปเลย แล้วผมตั้งตนเป็นคณะกรรมการปฏิรูป ผมบอกว่าผมรู้ดีมาก ผมออกแบบเอง ถามว่าผมเอาความชอบธรรมจากไหนมา ประเด็นคือตอนนี้คือเรื่องความชอบธรรมนั้นสำคัญ เพราะมันจะทำให้เราผ่านวิกฤตนี้ไปได้ โดยไม่ต้องสูญเสีย จะทะเลาะกันไปบนฐานคิดแบบนี้ เพราะฉะนั้นปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเนี่ย ไม่ได้
@ มีบางกลุ่มเสนอให้ทหารเป็นคนกลาง
ทหารเกี่ยวอะไร ตัวกลางคืออะไร ไม่ต้องมี เพราะคนที่เขาตัดสินใจคือเจ้าของอำนาจ และเจ้าของอำนาจคือประชาชนอยู่แล้ว จะเอาคนกลางมาทำไม ก็ให้คน 47 ล้านคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งตัดสินใจสิ ทหารไม่ได้มีหน้าที่เรื่องพวกนี้
วิธีเสนออย่างนี้ เป็นวิธีของเด็กเอาแต่ใจ เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง พอครั้นจะให้สู้กันแบบแฟร์ ๆ คุณอยากได้อะไรก็เสนอให้คนเขาเห็นก็ไม่เอา ไม่กล้า
ผมถามว่าตอนนี้สภาประชาชนที่พูดกันทั้งบ้านทั้งเมืองมีหน้าตาเป็นอย่างไรยังไม่มีใครรู้เลย แล้วมันจะมาทำอะไร แล้วมีอำนาจแบบไหน แล้วถ้าเกิดคอร์รัปชั่นขึ้นมาจะตรวจสอบได้อย่างไร
คืออย่าเสนอมาโดยที่คิดว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นคนไม่มีความคิด ควรเสนอมาแบบที่เคารพความเป็นมนุษย์เคารพสติปัญญาของคนอื่นเขาด้วยสิ
ผมรู้สึกว่าวิธีนี้คือทางออกที่จะออกจากการสุ่มเสี่ยงนองเลือดที่จะเกิดขึ้นตอนนี้ คือการเลือกตั้ง และที่สำคัญคือ ดูนานาชาติ เขาสนับสนุนให้ไปสู่การเลือกตั้ง และจับตาดูการเลือกตั้ง ไม่ต้องกลัวโกงการเลือกตั้ง คุณก็มีองค์กรอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อยู่แล้ว ไม่ใช่ของรัฐบาลสักหน่อย ใครโกงก็จับสิ คุณก็ดำเนินคดีไป ตามกระบวนการ แต่อย่าให้เกิดการแกล้งกัน คนที่รักษากฎหมายก็ต้องมีความเป็นธรรม และผู้แพ้ก็แพ้ ผู้ชนะคือชนะ
ที่สำคัญคือ ไม่ได้ว่าจะตายเลยซักหน่อย ถ้าไม่ได้ปฏิรูปเที่ยวนี้ อีกแค่ไม่กี่ 10 วันเอง ไม่ถึง 2 เดือน ผมถามว่า ปฏิรูปต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าจะคุยกันก็เป็นปี กว่าคุณจะสรุปแก้กฎหมายอะไรต่าง ๆ อีกล่ะ
@ มองความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เสนอให้ปฏิรูปว่าอย่างไร
พวกที่เสนอให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งคือพวกที่ไม่ต้องการการเลือกตั้ง รวมถึงพวกที่ต้องการคนกลางด้วย เนื่องจากกลัวว่าพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลจะชนะอีก ผมท้าเลยว่าเป็นแบบนี้
ข้อเสนอแต่ละอย่าง เสนอให้ตีความกฎหมายให้ถึงทางตัน เสนอให้นายกฯ ยุบสภา ผมถามว่าทำไมผมต้องทำแบบที่เสนอ คุณเป็นใครมาชี้ให้ทำนู่นทำนี่ แล้วทำไมต้องทำให้รัฐธรรมนูญมันถึงทางตันด้วย
ตอนนี้มีคนเสนอให้ถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง ถอนทำไม คนเสนอเอาแต่ได้หมดเลย และมักเสนอในแง่ที่ทำตัวเป็นคนดี หวังดีต่อบ้านเมือง ปฏิรูปการเมือง ไม่ใช่เลย คนดีต้องเคารพอำนาจของประชาชน และนำประเทศไปสู่การเลือกตั้งก่อน และถ้าคุณไม่เชื่อใน 1 สิทธิ์ 1 เสียง คนไม่เท่ากัน ก็ไปแก้รัฐธรรมนูญ ตามที่ต้องการสิ แล้วไปดูด้วยว่ามีคนเห็นด้วยกับคุณหรือเปล่า
คุณไปโน้มน้าวพวกเขาสิว่าผมจบด็อกเตอร์ ผมเป็นศาสตราจารย์ ผมมีคุณธรรมสูงกว่า ต้องมีคะแนนเสียงเยอะกว่า และพวกชาวไร่ชาวนาต้องมีคะแนนเดียว เขาจะเอากับคุณไหมล่ะ ง่าย ๆ เลย ทำไมทำให้ปัญหาซับซ้อน ทั้งที่ในแง่วิชาการมันแก้ปัญหากันง่าย ๆ อย่างนี้
ผมเห็นว่าข้อเสนอพวกนี้คือการทำให้ปั่นป่วนก่อนการเลือกตั้ง ไว้หลังเลือกตั้งเถอะ แล้วเสนอนโยบายมา แล้วคุณไม่ต้องมาชุมนุมด้วย จะมาตากแดดชุมนุมทำไม ยึดนู่นยึดนี่ทำไม อยากได้อะไรก็ไปเสนอเป็นนโยบายสิ แล้วก็ไปรณรงค์ให้คนเห็นด้วยกับคุณ
ก็คุณบอกว่าเป็นมวลมหาประชาชนไม่ใช่เหรอ คือถ้าใครมีมวลมหาประชาชนก็ไม่ต้องกลัวเลือกตั้งเลยนะ เพราะมวลมหาประชาชนที่สนับสนุนสภาประชาชน ต้องชนะการเลือกตั้งถล่มทลายแน่ ๆ และแก้รัฐธรรมนูญ ได้แน่นอน ท้าเลย กล้า ๆ หน่อย
- ภาพประกอบจากเว็บไซต์ www.bangkokbiznews.com
