เหตุผล ศาลปค. ชี้ คตส.มีอำนาจอายัดเงิน "ทักษิณ"

ภายหลังศาลปกครองพิพากษายกฟ้อง คดีที่ พตท. ทักษิณขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้แก่คำสั่งคตส.016/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550, คตส.017/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550, คตส.021/2550 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2550 และคตส. 022/2550 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2550 โดยขอห้ามมิให้คณะกรรมการตรวจสอบฯ เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเกี่ยวข้องหรือมีคำสั่งใดๆ อันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิกับทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีและให้ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิในทรัพย์สินที่ถูกอายัดในฐานะเจ้าของทรัพย์สินได้ดังเดิมนั้น
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา สรุปประเด็นสำคัญตอนหนึ่งจากสำเนาคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 745/2551 คดีหมายเลขแดงที่ 2237/2556 ระหว่างผู้ฟ้องคดีคือ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร กับผู้ถูกฟ้องคดี รวม 13 ราย ประกอบด้วย นายนาม ยิ้มแย้ม , นายแก้วสรร อติโพธิ, นายสัก กอแสงเรือง, นายอุดม เฟื่องฟุ้ง, คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา, นายจิรนิติ หะวานนท์, นายบรรเจิด สิงคะเนติ, นายกล้านรงค์ จันทิก, นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์, นายอำนวย ธันธรา, นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์, คณะกรรมการตรวจสอบฯ และกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 13 เรื่อง “คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงาน ทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยฟุ้ง,งานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง”
สำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบว่าสาเหตุที่ คตส.อายัดบัญชีของ พตท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน รวม 33 บัญชี ซึ่งข้อมูลจากสำเนาคำพิพากษาและพิจารณาคดีดังกล่าวเผยสาเหตุว่าขณะ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเอง ทำรัฐเสียหายเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท
มูลเหตุแห่งการอายัดบัญชีและมูลค่าความเสียหายจากการทุจริต สรุปได้ดังนี้
1.คำสั่งคตส.016/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550
ให้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารและสถาบันการเงิน จำนวน 21 บัญชี หรือกองทุนไว้ก่อน เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้ฟ้องคดีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการทุจริต หรือประพฤติมิชอบ หรือร่ำรวยผิดปกติ
2.คำสั่งคตส.017/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550
ให้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารและสถาบันการเงินของผู้ฟ้องคดีและภรรยา ทุกบัญชี ทุกธนาคาร และทุกสถาบันกการเงินไว้ก่อน
3.คำสั่งคตส.021/2550 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2550
ให้อายัดบัญชีเงินฝากธนาคารและสถาบันการเงินเพิ่มเติมจำนวน 7 บัญชี เนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายเงินฝากจากธนาคารที่ถูกอายัดไว้ตามคำสั่งคตส.016/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550 มายังบัญชีดังกล่าว
4.คตส. 022/2550 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2550
ให้อายัดบัญชีเงินฝากและเช็คของธนาคาร และสถาบันการเงินเพิ่มเติมอีก 5 บัญชี และเช็ค 2 ฉบับ เนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายเงินฝากจากธนาคารที่ถูกอายัดไว้ตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีข้างต้น
สำเนาคำพิพากษาตุลาการศาลปกครอง ในส่วนคำพิเคราะห์ของศาลเปิดเผยว่าการออกคำสั่งอายัดเงินฝากในบัญชีธนาคารหรือกองทุนและเช็คดังกล่าว คณะกรรมการตรวจสอบ (คตส.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบหุ้นชินคอร์ป และคณะอนุกรรมการไต่สวนคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ ต่อกิจการของตน
ซึ่งคณะอนุกรรมการดังกล่าว ได้ไต่สวนข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว มีความเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้ง 2 สมัย ในปี 2544 และ 2548 พ.ต.ท. ทักษิณ และภรรยายังคงถือหุ้นธุรกิจสัมปทานของหุ้นชินคอร์ปฯ จำนวนร้อยละ 49.60 โดยใช้ชื่อบุคคลอื่นเป้นตัวแทนเชิดถือไว้แทน ในนามของบุตรชาย บุตรสาว ญาติพี่น้อง บุคครลใกล้ชิด ตลอดจนบริษัทที่ผู้ฟ้องคดีจัดตั้งขึ้นในต่างประเทศ ( บริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนต์ และบริษัท วินมาร์ค ลิมิเต็ด ) โดยบริษัทในต่างประเทศเหล่านี้ ผู้ฟ้องคดียังคงเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการ ตลอดจนมีอำนาจจัดการด้านการเงินในบริษัทเหล่านั้นด้วย ดังนั้นเงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ป ให้แก่กองทุนเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ จำนวนร้อยละ 49.6 เป็นเงินจำนวน 73,000 ล้านบาทเศษนี้ จึงยังคงเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณและภรรยา
นอกจากนี้ ยังมีคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบฯ คตส. ( ผู้ถูกฟ้องที่ 12 ) ได้ดำเนินคดี ต่อ พ.ต.ท ทักษิณ ( ผู้ฟ้องคดี ) ด้วย อีก 6 คดี คือ
1.คดีแก้ไขสัญญาข้อตกลงลดส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ( Prepaid ) เอื้อประโยชน์แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน ) (AIS) ซึ่งเป็นในเครือชินคอร์ป ทำให้รัฐ ( บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ) เสียประโยชน์ ตลอดอายุสัมปทานเป็นเงินจำนวน 71,667 ล้านบาท
2.คดีแก้ไขสัญญาข้อตกลงปรับเกณฑ์การตัดส่วนแบ่งรายได้ให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน ) (AIS) ทำให้รัฐเสียหายประมาณ 700 ล้านบาท
3.คดีตราพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม และได้มีมติคณะรัฐมนตรีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน ) (AIS) ทำให้รัฐเสียหายประมาณ 30,667 ล้านบาท
4.คดีให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เช่าและลงทุนระบบคลื่นความถี่ดาวเทียมของบริษัท ชินแซทเทิร์นไลท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือชินคอร์ปฯ โดยไม่จำเป็น เป็นเหตุให้บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน)เสียหายประมาณ 700 ล้านบาท
5.คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ( EXIM BANK ) ให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด ( มหาชน) ในจำนวนเงินกู้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
6.อาศัยการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นำผลประโยชน์ของชาติ แลกเปลี่ยนบุกเบิกตลาดธุรกิจ ดาวเทียมให้แก่สายธุรกิจดาวเทียมในเครือบริษัท ชินคอร์ป ฯ เพิ่มมูลค่าธุรกิจดาวเทียมของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด ( มหาชน ) เป็นจำนวนมาก ซึ่งการใช้อำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของผู้ฟ้องคดีในชินคอร์ปฯ ดังกล่าว ยังผลประโยชน์อันมิควรได้ ตกเป็นมูลค่าแฝงฝังอยู่ในหุ้นชินคอร์ปฯของ พ.ต.ท. ทักษิณ
ทั้งนี้ พฤติการณ์ทุจริตของ พ.ต.ท. ทักษิณกับพวก ยังมีคดีที่ถูก คตส. ทำการไต่สวนกล่าวหา รวมอีก 5 คดี คือ
1.คดีทุจริต โครงการจัดซื้อที่ดินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน ผู้ฟ้องคดีและภรรยาได้ถูกอัยการสูงสุดฟ้อง เป็นผู้ถูกฟ้อง คดี ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มูลค่าคดีตามสัญญาซื้อขายที่ดินจำนวน 772 ล้านบาท
2.คดีการจัดซื้อกล้ายางของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มูลค่าตามสัญญา 1,440 ล้านบาท
3.คดีทุจริต โครงการจัดซื้อจัดจ้าง ปรับเปลี่ยนสายพาน ลำเลียงกระเป๋า สัมภาระผู้โดยสาร และเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ( CTX 9000 ) ทำให้รัฐเสียหาย 1500 ล้านบาท
4.คดีโครงการ ออกสลากพิเศษรางวัลเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ของสำนักงาน สลากกินแบ่งรัฐบาล ทำให้รัฐเสียหาย 37,790 ล้านบาท และ
5 คดีการให้เงินกู้โดยทุจริต ของผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด ( มหาชน ) ทำให้รัฐเสียหายจำนวน 5,185 ล้านบาท
ทั้งนี้ สำเนาคำพิพากษาและการพิจารณาคดีของศาลปกครอง ระบุถึงพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปรกติจากการใช้อำนาจหน้าที่ของผู้ฟ้อง เอื้อประโยชน์ต่อกิจการของชินคอร์ปฯ และบริษัทในเครือ ด้วยการทุจริตเชิงนโยบาย ใช้ข้อมูลภายในหาประโยชน์ อาทิ ผู้ฟ้องคดี ใช้อำนาจหน้าที่ผลักดันให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติประกอบกิจการโทรคมนาคม ให้บุคคลต่างด้าว สามารถถือหุ้นในบริษทด้านกิจกการโทรคมนาคมจากเดิมไม่เกินร้อยละ 25 เพิ่มขึ้น เป็นไม่เกินร้อยละ 50 พร้อมๆ กับ ผู้ฟ้องคดี ได้มีการเจรจาขายหุ้นชินคอร์ปฯ จำนวนร้อยละ 49.6 ของผู้ฟ้องคดี และภรรยา ที่ใช้ชื่อบุคคลอื่นถือไว้แทน รวมถึงคดีซุกหุ้น ภาค 2 ที่ผู้ฟ้องคดี และภรรยา ซุกซ่อนปิดบัง ยักย้ายหุ้นมาตั้งแต่ผู้ฟ้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ด้วยเหตุนี้ จึงนำไปสู่การออกคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากในธนาคารหรือกองทุนและเช็คตามคำสั่ง คตส.016/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550 ,คตส.017/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550, คตส.021/2550 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2550 และคตส. 022/2550 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2550 เพื่อมิให้มีการเคลื่อนย้ายเงินฝากที่ได้มาจากการกระทำที่เข้าข่ายการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น และการมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ เพราะหากไม่มีการอายัดเงินในบัญชีเงินฝาก ในธนาคารหรือกองทุนและเช็คดังกล่าวย่อมจะมีการเคลื่อนย้ายเงินฝากออกไป
ทั้งนี้ ใจความสำคัญตอนหนึ่งที่ในหน้า 43 ของสำเนาคำพิพากษาศาลปกครอง ระบุว่าการอายัดเงินในบัญชีเงินฝากในธนาคารหรือกองทุนและเช็คตามคำสั่งดังกล่าว โดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นเงินที่เกิดจกการกระทำทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือร่ำรวยผิดปกติของ ผู้ฟ้องคดี ( พ.ต.ท. ทักษิณ ) จึงเป็นการกระทำที่ชอบแล้วตามข้อ 5 และข้อ 8 ของประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ก่อห้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ 30 กันยายน 2549 แล้ว
“เมื่อการออกคำสั่ง คตส.016/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550 ,คตส.017/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550, คตส.021/2550 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2550 และคตส. 022/2550 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2550 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12 จึงมิได้กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ศาลจึงไม่อาจสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 12 ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอได้” (ข้อความหน้า 43 สำนวนคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 745/2551 คดีหมายเลขแดงที่ 2237/2556 )
สำนักข่าวอิศราสรุปคดีทุจริตที่คตส. ดำเนินคดีและไต่สวน กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งสิ้น 11 คดี ดังนี้
1.เงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ป ให้แก่กองทุนเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ เป็นเงินจำนวน 73,000 ล้านบาทเศษ
2.คดีแก้ไขสัญญาข้อตกลงลดส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า เอื้อประโยชน์แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน )ทำให้รัฐเสียประโยชน์เป็นเงินจำนวน 71,667 ล้านบาท
3. คดีแก้ไขสัญญาข้อตกลงปรับเกณฑ์การตัดส่วนแบ่งรายได้ให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน )ทำให้รัฐเสียหายประมาณ 700 ล้านบาท
4.คดีตราพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม และได้มีมติคณะรัฐมนตรีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน )ทำให้รัฐเสียหายประมาณ 30,667 ล้านบาท
5.คดีให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เช่าและลงทุนระบบคลื่นความถี่ดาวเทียมของบริษัท ชินแซทเทิร์นไลท์ จำกัด (มหาชน) โดยไม่จำเป็น เป็นเหตุให้บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) เสียหายประมาณ 700 ล้านบาท
6.คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ( EXIM BANK ) ให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด ( มหาชน) ในจำนวนเงินกู้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
7. คดีทุจริต โครงการจัดซื้อที่ดินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน ผู้ฟ้องคดีและภรรยาได้ถูกอัยการสูงสุดฟ้อง เป็นผู้ถูกฟ้อง คดี ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มูลค่าคดีตามสัญญาซื้อขายที่ดินจำนวน 772 ล้านบาท
8.คดีการจัดซื้อกล้ายางของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มูลค่าตามสัญญา 1,440 ล้านบาท
9.คดีทุจริต โครงการจัดซื้อจัดจ้าง ปรับเปลี่ยนสายพาน ลำเลียงกระเป๋า สัมภาระผู้โดยสาร และเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ( CTX 9000 ) ทำให้รัฐเสียหาย 1,500 ล้านบาท
10.คดีโครงการ ออกสลากพิเศษรางวัลเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ของสำนักงาน สลากกินแบ่งรัฐบาล ทำให้รัฐเสียหาย 37,790 ล้านบาท
11.คดีการให้เงินกู้โดยทุจริต ของผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด ( มหาชน ) ทำให้รัฐเสียหายจำนวน 5,185 ล้านบาท
รวมมูลค่าความเสียหาย จาก 11 คดีที่กล่าวมา เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 224,421 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าว ยังไม่รวมคดีอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถระบุตัวเลขความเสียหายได้แน่ชัด อาทิ การอาศัยการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นำผลประโยชน์ของชาติ แลกเปลี่ยนบุกเบิกตลาดธุรกิจ ดาวเทียมให้แก่สายธุรกิจดาวเทียมในเครือบริษัท ชินคอร์ป ฯ เพิ่มมูลค่าธุรกิจดาวเทียมของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน ) เป็นจำนวนมาก ซึ่งการใช้อำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของผู้ฟ้องคดีในชินคอร์ปฯ ดังกล่าว ยังผลประโยชน์อันมิควรได้ ตกเป็นมูลค่าแฝงฝังอยู่ในหุ้นชินคอร์ปฯ
