เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ : “ผม “ดีเฟนส์” หลักการ ปชต. ไม่ใช่การรับใช้ รบ.”
“…ที่ผมต้องออกมาพูดเพราะว่า ผมไม่มีที่ยืนในสังคม ซึ่งแย่มาก เพราะทุกวันนี้ถูกผลักไปเป็นสองขั้วไปเลย เหมือนผมพูดว่าอยากเลือกตั้ง เขาก็หาว่าผมเสื้อแดง รับเงินทักษิณ ผมโดนโทรมาด่า ซึ่งผมรับไม่ได้ ว่าทำไมล่ะ ในสังคมเราทั่วไปมีสิทธิ์ที่จะไปเลือกตั้งไม่ใช่เหรอ ในการต่อสู้ไม่จำเป็นจะต้องใช้ความรุนแรงเข้าหากัน…”

ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เขม็งเกลียวจนเกิดเหตุรุนแรงไปแล้วหลายครั้ง และมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้วหลายราย ขณะที่สถานการณ์ล่าสุดก็เข้มข้นจนส่อเค้าว่าจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
ส่งผลสะเทือนให้ประชาชนบางส่วน และนักวิชาการบางคนในสังคมตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงทางการเมือง ต่างตบเท้าออกมาแสดงจุดยืน จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์กันอย่างเอิกเกริก เช่น การจุดเทียนเพื่อยุติความรุนแรง หรือแม้แต่การใส่เสื้อสีขาว ปล่อยลูกโป่งสีขาว เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. ที่จะถึงนี้ (หากไม่มีอะไรผิดพลาด)
“ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์” อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้โด่งดังจากกรณีเปิดโปง เครื่อง “GT200” คือหนึ่งในนักวิชาการที่หลายฝ่ายมองว่าเป็น “เสียงส่วนน้อย” ของจุฬาลงกรณ์ฯ ผู้เดินหน้าออกมา “ดีเฟนส์” หลักการประชาธิปไตย และต้องการยุติปัญหา “ความรุนแรง” ด้วยวิธีการ “เลือกตั้ง”
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ติดต่อไปยัง “ดร.เจษฎา” เพื่อสอบถามแนวความคิดที่ต้องการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ และหลักการประชาธิปไตยคืออะไร ทำไมต้องปกป้องการเลือกตั้ง รวมทั้งการเลือกตั้งคือทางออกของปัญหาจริงหรือ ?
ติดตามได้จากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้
@สาเหตุที่ต้องจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในครั้งนี้
ผมกลับมาจากต่างประเทศ มาเห็นข่าวว่ามีกลุ่มจัดกิจกรรมอยู่แล้ว คือกลุ่ม “พอกันที! ยุติการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง!” ดูเขาในโทรทัศน์ ก็รู้สึกว่ามันตรงใจเลยไปร่วมกับเขา เพราะผมก็ไม่เห็นด้วยกับการที่วิธีการชุมนุมที่มีการประท้วงต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มจะรุนแรงเรื่อย ๆ ผมเลยโพสต์ในเฟซบุ๊กบอกว่า เพื่อน ๆ คนไหนสนใจจะไปร่วมด้วยก็นัดเจอกันที่ลานพระรูปที่จุฬาลงกรณ์ฯ และไปด้วยกัน
เท่าที่ฟัง ๆ ดูมีคนสนใจมาร่วมกับผมค่อนข้างเยอะ ดังนั้นล่าสุดคงไม่ได้เดินไปหอศิลป์แล้ว เพราะถ้าเยอะเกินไปก็อาจเป็นการวุ่นวายคนอื่น คือเดินไปในถนน หรือไปอยู่ที่หอศิลป์ก็ไม่มีที่ยืน ก็อาจอยู่แค่ในจุฬาลงกรณ์ฯ ทำพิธีเล็กน้อย จุดเทียน คุยกัน พอถึงหกโมงเย็น ก็ร้องเพลงชาติร่วมกัน ก็แยกย้าย ส่วนใครอยากไปร่วมที่หอศิลป์ต่อก็ไป ผมมีไอเดียแค่นี้เอง ไม่ได้มีอะไรมาก
@มีหลายฝ่ายมองว่าพวกที่จัดกิจกรรมแบบนี้ เป็นพวกเสื้อแดงถอดเสื้อมาใส่เสื้อขาว
แล้วแต่กลุ่ม ถ้าอยากมองมาที่ผม ผมก็ขอบอกว่าไม่ใช่แน่ ๆ เพราะผมเป็นฝ่ายที่ไม่ชอบรัฐบาลมาตั้งแต่แรก เชื่อว่าคนอย่างผมมีค่อนข้างเยอะในประเทศไทย คนที่บอกว่าเชียร์รัฐบาลแต่ก็ไม่อยากใช้ความรุนแรงมาสู้กัน หรือว่าเป็นพวกที่แอนตี้รัฐบาลอย่างผมเนี่ยก็ไม่อยากใช้ความรุนแรงมาขับไล่คน เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาทำกัน
เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าวิธีการของผมเองเป็นการต่อสู้ที่ถูกต้องในหลักประชาธิปไตยคือการไปเลือกตั้ง เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาลงมาแล้ว ทุกคนมีหน้าที่ไปเลือกตั้ง ผมเลยเรียกตัวผมเอง และคนที่สนับสนุนผมว่า “ขั้วที่ 3”
แต่ ณ ขณะนี้ที่ผมต้องออกมาพูดเพราะว่า ผมไม่มีที่ยืนในสังคม ซึ่งแย่มาก เพราะทุกวันนี้ถูกผลักไปเป็นสองขั้วไปเลย เหมือนผมพูดว่าอยากเลือกตั้ง เขาก็หาว่าผมเสื้อแดง รับเงินทักษิณ ผมโดนโทรมาด่า ซึ่งผมรับไม่ได้ ว่าทำไมล่ะ ในสังคมเราทั่วไปมีสิทธิ์ที่จะไปเลือกตั้งไม่ใช่เหรอ ในการต่อสู้ไม่จำเป็นจะต้องใช้ความรุนแรงเข้าหากัน และถ้าเขาพูดอย่างนี้แสดงว่าเขาไม่เข้าใจ ซึ่งผมก็ยินดีนะ ถ้าหากเขาจะมาพูดคุยกับผมด้วยเหตุผลว่าผมคิดอย่างไร มากกว่าที่จะมาป้ายสีกัน เช่นเดียวกันคนกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าไม่ชอบการเลือกตั้ง และก็กลายเป็นพวกที่ไปประท้วงอย่างเดียว
จริง ๆ สังคมมีหลายฝ่าย ทำไมเราจะให้จุดยืนกับเขาไม่ได้ ดังนั้นคิดว่าน่าจะไม่มีที่ยืนให้คนคิดต่างประเทศไทยไม่สงบแน่ ต่อมาคนฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าฝ่ายตนถูก อีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าฝ่ายตนถูก และก็ทะเลาะกันไปกันมา และก็เกิดสงคราม อยากเห็นคนในประเทศฆ่ากันตายหรือเปล่า ผมก็ไม่อยาก ผมคิดว่าน่าจะมีที่ยืนให้ “ขั้วที่ 3” ที่อยากต่อสู้ด้วยการเลือกตั้งได้มีสิทธิ์บ้าง ไม่ใช่มาป้ายสีว่าเป็นเสื้อแดง
@”ขั้วที่ 3” นี่หมายถึงคนกลุ่มใดบ้าง
ผมเชื่อว่าคนที่เป็น “ขั้วที่ 3” หมายถึงคนที่คิดอย่างสงบสันติจริง ๆ และใช้ประชาธิปไตยจริง ๆ ในการต่อสู้ คือไม่ใช่คนที่เป็นไทยเฉย ๆ แล้วอยู่ไปวัน ๆ คือเราก็อยากต่อสู้ แต่ต้องการต่อสู้ตามหลักการประชาธิปไตยจริง ๆ อย่างที่ว่าเรื่องการเลือกตั้ง การหาเสียง การใช้นโยบายสู้กัน ไม่ใช่การใช้ Hate Speech การป้ายสีด่ากัน
เพราะฉะนั้นคนกลุ่มนี้อาจจะเป็นคนทีรักรัฐบาลก็ได้ คนที่เกลียดรัฐบาลก็ได้ หรืออย่างผม ผมเกลียดรัฐบาล และผมไม่รักประชาธิปัตย์ก็ได้ คือนอกจากพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีพรรคการเมืองอื่นอีกตั้งเยอะ สมมติผมอยู่ชลบุรี ผมก็ยังมีพรรคพลังชลให้เลือก แม้ว่าพรรคพลังชลจะเข้าไปเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านเราก็ไม่รู้ แต่ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะเลือก
แต่ทำไมสุดท้ายตรงนี้ทุกคนบอกว่าห้ามเลือกตั้ง นั่นมันไม่ถูกต้อง ซึ่งท้ายสุดคนจะค่อยทยอยออกมาทำให้รู้ว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วเนี่ย วิธีการต่อสู้ที่เป็นธรรมที่สุด และมีการบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุดคือการไปเลือกตั้ง จะใช้วิธีการอื่นก็ได้ แต่คุณต้องรู้ตัวนะว่านั่นเป็นวิธีการที่นำไปสู่การนองเลือดในอนาคต
@ประชาธิปไตยในทัศนะของคุณคืออะไร
ประชาธิปไตยผมว่ามันตรงไปตรงมา ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปกครองตัวเอง และกระบวนการปกครองตัวเองคือในประเทศไทยมีคนจำนวนมาก คือทั้ง 65 – 70 ล้านคนไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสภาได้ ก็ต้องมีตัวแทนไป ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่และเป็นสิทธิของเราที่จะเลือกตัวแทนเข้าไปร่วมกัน
ฉะนั้นไม่ว่าคนกี่คนก็ตาม ทุกคนมี 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน ไม่ว่าคนจะเรียนต่ำเรียนสูง มีชาติตระกูล ก็มีเสียงเท่ากัน และนั่นคือประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
ขณะเดียวกัน ประชาธิปไตยก็ต้องเป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ เสียงข้างมากคือเสียงที่ใช้ในการนำทาง แต่ไม่ใช่เอามาใช้ในการชนะตลอดเวลา ฉะนั้นเสียงข้างมากเองก็ต้องฟังเสียข้างน้อยด้วย และต้องหาทางที่จะไกล่เกลี่ยกัน เช่น ถ้ารัฐบาลได้รับอำนาจไป ทำงานไม่ดี หรือทำงานเลวร้าย ก็มีสิทธิ์จะล้มรัฐบาล และการล้มรัฐบาลของเราคือล้มด้วยการกากบาทในบัตรเลือกตั้ง นั่นแปลว่าฝ่ายค้านเองต้องเข้มแข็ง และถ้าฝ่ายค้านไม่เข้มแข็ง ไม่ยอมลงเลือกตั้ง แล้วเราจะเลือกฝ่ายค้านได้อย่างไร
ประเทศที่เขาเจริญแล้วเนี่ยคือรัฐบาล และฝ่ายค้านต้องเข้มแข็งทั้งคู่ และต้องหาทางที่จะต่อสู้กันในทางนโยบายและผลงาน เพราะตอนนี้มีการใช้วิธีเอาคำพูด วาทกรรมร้าย ๆ มาป้ายสีใส่กัน แต่ว่าไม่ได้เอาผลงานมาคุยกัน ดังนั้นจริง ๆ แล้วเรายังต้องคุยกันอีกมาก
@ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่แหลมคมในปัจจุบัน การเลือกตั้งคือทางออกจริงหรือ
ผมบอกแล้วว่าการเลือกตั้งคือสิ่งที่ต้องกระทำ มันอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่มันก็ต้องกระทำ เพราะมันมีราชกฤษฎีกาลงมาแล้วว่าต้องไปเลือกตั้ง ซึ่งมันเป็นการสามารถที่แสดงความเห็นได้ แต่โอกาสของคนไทยจริง ๆ จะแสดงความเห็นได้
การที่เราบอกว่ามีความขัดแย้งอย่างรุนแรง แต่มันเป็นแค่คนประมาณ สมมติว่า คน 1 ล้านคนทะเลาะกันหรือเปล่า แต่อีก 68 ล้านคนไม่รู้เรื่องเลย ก็มองไปอย่างนี้ ผมเดินไปเดินมามีความสุขดี นั่นแปลว่าแค่คน 1 ล้านคนกำลังทะเลาะกันอยู่หรือเปล่า ซึ่งนั่นแปลว่า ถ้าเราอยากจะรู้ว่าใครมีสิทธิ์ในสังคมก็ต้องไปเลือกตั้ง หรือลงประชามติถ้าจะใช้วิธีนั้น
แต่ในใจของผมอยากให้ผู้นำความขัดแย้งทั้งหลาย ต้องมานั่งตั้งโต๊ะเจรจา ไม่ใช่มาบอกว่าเอาหรือไม่เอากันเท่านั้นเอง
@มองว่าหากเลือกตั้งเสร็จควรมีปฏิรูปหรือไม่
ปฏิรูปเป็นคำที่สวยงาม เป็นคำสวย ๆ ขึ้นมา และวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณจะปฏิรูปอะไร ฉะนั้นวันนี้คือปัญหาที่มีคนนำมาใช้ เช่น เราจะเป็นคนดีก่อนหรือไม่ หรือว่าจะเลือกตั้งก่อนแล้วค่อยเป็นคนดี ทุกคนก็บอกว่าต้องการเป็นคนดี ดังนั้นมันเป็นแค่คำสวย แต่ไม่ได้บอกว่าทำอะไรบ้าง ฉะนั้นถ้าบอกผมว่าทำอะไรบ้าง เป็นรูปธรรม ผมก็สามารถมีสิทธิ์บอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
แต่ทุกวันนี้พิจารณาได้เลยว่าจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งก่อนปฏิรูป เพราะว่ายังไม่บอกอะไรมาสักแอะเลย
ดังนั้นโดยธรรมชาติคนฟังก็ต้องบอกว่าปฏิรูปมันน่าทำ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ว่าในวันนี้ก็ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้เสร็จก่อน ไม่ควรมีใครมาล้มเลือกตั้ง ไม่มีความจำเป็นใด ๆ มาประท้วงและทำให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นไม่ได้
แต่ว่าคนที่เลือกตั้งรอบนี้ต้องรู้ตัวว่า สมมติว่า ส.ส. ที่คุณเลือกไป คุณไม่ได้มาเป็นตัวแทน 4 ปีแล้วนะ เพราะประชาชนเขาไม่เอาด้วยหรอก ฉะนั้นเลือกตั้งต้องผ่านไปให้ได้ก่อน และอีกสักปีค่อยเลือกตั้งใหม่ แล้วระหว่างนั้นค่อยคุยกันว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
แต่ ณ วันนี้แค่จะคุยกันยังไม่คุยกันเลย ดังนั้นผมจึงไม่เห็นทางออกว่าถ้าไม่ไปเลือกตั้งจะจบอย่างไร
@จะทำอย่างไรให้คนในสังคมเข้าใจว่าเป็นการปกป้องหลักประชาธิปไตย แต่กลับถูกผลักให้เลือกข้าง
ปัญหาตอนนี้คือสังคมเลือกข้างในการฟัง ใช้คำว่าปิดตาข้างเดียว ไม่ยอมฟังอีกด้านหนึ่งเลย ดังนั้นถ้ามีโอกาสควรจัดเวทีมาแลกเปลี่ยนกันบ้าง อย่างสมมติว่า ผมเป็น “ขั้วที่ 3” ก็ควรให้โอกาสผมบ้างว่าจะทำอะไร ตอนนี้ที่ผมเริ่มพูดว่า ใครก็ตามในสังคมที่อยากจะพูดตั้งเยอะ แต่ว่าเก็บกดกันเยอะมาก ถ้าพูดนิดหน่อยก็โดนว่าแล้ว
ดังนั้นถ้าให้เวทีให้เขามานั่งพูดคุยมากขึ้น แล้วแลกเปลี่ยนกันมากขึ้นก็น่าจะดี แต่ ณ วันนี้คนทั้งสองฝ่ายโดนล้างสมองไปเยอะแล้ว ฉะนั้นพอคนโดนล้างสมองไปแล้วก็ไม่คิดจะฟังอีกฝ่ายหนึ่งเลยแม้แต่น้อย ใครที่เห็นต่างก็ลงโทษทำร้ายกันได้ และนั่นจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองในอนาคต
"ฉะนั้นสิ่งที่ผมออกมา ต้องการกระตุ้นว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งนะ ถ้าคิดจะทำอะไรก็นึกถึงคนกลุ่มนี้หน่อย ช่วยลดระดับความรุนแรง เร่าร้อนลงได้ไหม และทำอะไรค่อย ๆ คิดหน่อยได้ไหม ว่าคนเขาเห็นด้วยกับคนกี่ส่วน แม้จะเป็นส่วนเล็ก ๆ แต่มันก็มี เพราะฉะนั้นนี่คือการกระตุ้นให้คนกลับมาเจรจากันมากขึ้น"
ทั้งหมดนี้คือ “ความในใจ” ของ “ดร.เจษฎา” ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นเพียง “แกะดำ” ภายในจุฬาลงกรณ์ฯ และถูกตีขลุมเหมารวมว่าใครก็ตามที่ “ดีเฟนต์” หลักประชาธิปไตยต้องเป็นพวก “เสื้อแดง” ไปเสียทั้งหมด
อย่างไรก็ดี น่าสนใจว่าหากการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. นี้ไม่เกิดขึ้น ประเทศไทยจะเดินหน้าไปในทิศทางไหนกันแน่ ?
ช่วงเวลาต่อจากนี้ อย่ากระพริบตา !
หมายเหตุ : ภาพประกอบจากgoogle
