“ศาล รธน.” ยาขม รบ.เพื่อไทย จับตาคว่ำ กม.กู้ 2 ล้านล้าน

คาดกันว่า เร็วๆนี้ อาจปรากฏข่าว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” รักษาการนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอพระบรมราชานุญาตถอนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่ทูลเกล้าฯ ไปก่อนยุบสภา ภายหลังเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้ง “กระบวนการ-เนื้อหา”
แน่นอนว่า ปมการเอาผิดกรณีทูลเกล้าฯ คงไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะยิ่งลักษณ์ก็ดำเนินการไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 150 ที่ระบุว่า ให้ทูลเกล้าฯ ภายในเวลา 20 หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบ
ขณะที่ “ยิ่งลักษณ์กับพวก” ก็คงเบาใจขึ้น เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหากับ ส.ส.-ส.ว. คดีแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาวุฒิสภา เฉพาะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอร่างดังกล่าวเท่านั้น 308 คนเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่มีเสนอร่าง ซึ่งรวมถึง “ยิ่งลักษณ์กับพวก” อีก 73 คน ไม่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา
เพราะบรรทัดฐานดังกล่าว น่าจะทำให้ “ยิ่งลักษณ์กับพวก” ที่แม้จะร่วมลงมติ แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ให้ไม่ถูก ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา หากมีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.เอาผิดจริง
เท่ากับว่าชนักปักหลักยิ่งลักษณ์ ต่อคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะไม่มีอีกต่อไป
แม้ฝ่ายแกนนำพรรคเพื่อไทย อาจเสียดายอยู่บ้าง ที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่เพื่อไทยก็ต้องการจะแก้ไขให้ได้มาตลอดไม่แพ้มาตราสำคัญอื่นๆ แต่สุดท้ายก็”แท้งก่อนคลอด” ไปตามคาด แต่ชั่วโมงนี้ก็เชื่อว่ายิ่งลักษณ์-แกนนำเพื่อไทยตลอดจนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สนใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่แล้ว เวลานี้ขอให้แก้ปัญหาการเมืองเฉพาะหน้ากับการตั้งรับการเคลื่อนไหวของสุเทพ เทือกสุบรรณ และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยฯ (กปปส.) ไปให้ได้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
อดีตปธ.กมธ.แก้190 รับสภาพ
แต่โวยศาลรัฐธรรมนูญคร่อมเลน
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ขัดรัฐธรรมนูญ หลายมาตรา ก็มีปฏิกิริยาจากผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
อย่าง ”กฤช อาทิตย์แก้ว” ส.ว.กำแพงเพชร ในฐานะอดีตประธานกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ของรัฐสภา ที่แสดงความเห็นว่า เมื่อศาลมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ ก็ต้องดูกันต่อไปหากมีการยื่นให้ถอดถอนเพิ่มเติมอีก 1 คดีทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าคำวินิจฉัยของศาลไม่ผิดจากที่คาดไว้แต่แรก
“ผมยังยืนยันว่าสมาชิกรัฐสภามีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญคร่อมเลนมาตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แล้ว เวลานี้ก็ยังคร่อมเลนอีก” กฤชกล่าว
“กฤช” ซึ่งเป็น 1 ใน 308 ส.ส.-ส.ว.ที่ถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาวุฒิสภา ยังกล่าวว่า ยอมรับว่าหวั่นเกรงเรื่องคดี แต่ก็พร้อมต่อสู้ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่ข้าราชการมายืนยันต่อที่ประชุม กมธ.ว่า มาตรานี้มีปัญหาในเชิงปฏิบัติอยู่จริง ทำให้การติดต่อประสานงานกับต่างประเทศทำได้ยากลำบากเพราะข้อตกลงที่ต้องไปเซ็นร่วมกัน ต่างชาติให้รัฐสภาเห็นชอบเพียง 1 ครั้งก่อนเซ็น แต่ของไทยต้องให้เห็นชอบ 2 ครั้ง คือทั้งก่อนและหลังเซ็น การแก้ไขมาตรา 190 จึงมาจากเสียงสะท้อนของข้าราชการโดยตรงด้วย ไม่ใช่ กมธ.ต้องการแก้ไขฝ่ายเดียว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลน่าจะใจจดใจจ่อในเวลานี้มากเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากการเตรียมรับมือ “ชัตดาวน์ กทม.” ของกลุ่ม กปปส. ยังอาจถึงการลุ้นชะตากรรมของร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่รัฐบาลเคยหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ใช้หาเสียงไปได้อีกหลายสมัย
เพราะเวลา ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยในการไต่สวนพยาน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2557ที่ทำให้คนในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยหายใจไม่ทั่วท้อง
ไต่สวนคดี-ซักหนักเสียบบัตรแทนกัน
เผยแผนสำรองรับมือ 2 ล้านล้าบาทถูกคว่ำ
ยิ่งเมื่อเห็นสัญญาณบางอย่างจากการซักถามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง “คลิป ส.ส.กดบัตรลงคะแนนแทนกัน” ซึ่งเคยเป็นเงื่อนปมเดียวกับที่เคยใช้วินิจฉัยให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาวุฒิสภาไม่ชอบรัฐธรรมนูญมาก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ การพิจารณาดังกล่าวยังได้ลุ้นกันอีกนัด โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนผู้เชี่ยวชาญ 7 คน ในวันที่ 15 มกราคม 2557 ซึ่งหากไม่มีอะไรพลิกผัน เมื่อจบการไต่สวนวันดังกล่าว น่าจะมีการกำหนดวันอ่านคำพิพากษาโดยทันที
ก่อนหน้านี้ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” รักษาการ รมว.คมนาคม เคยกล่าวถึงแผนสำรอง หากร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทถูกคว่ำว่า รัฐบาลก็คงใช้กรอบวงเงินตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี แล้วให้กระทรวงการคลังไปหาเงินกู้จากแหล่งอื่นมาเติม ซึ่งอาจทำให้ได้เงินไม่ครบ 2 ล้านล้านบาท แต่น่าจะเพียงพอให้โครงการสำคัญในแผนงานเดิมเดินหน้าต่อไปได้ โดยอาจต้องตัดบางโครงการออกไป ซึ่งการเดินหน้าโครงการต่างๆ ในช่วงปีที่ 1 คงไม่น่าจะมีปัญหา แต่พอถึงปีถัดๆ ไปเช่นปีที่ 3 ปีที่ 4 ทางกระทรวงคมนาคมก็ต้องไปหารือกับกระทรวงการคลังว่าจะไปหาแหล่งเงินกู้ได้จากที่ใด
“เรื่องแผนสำรองจึงมีในใจอยู่แล้ว แต่ยังไม่อยากพูดอะไรมาก แต่คิดว่ามันก็ต้องมีทางไป แต่อาจไม่ครบแบบเดิมทั้งหมด” ชัชชาติระบุ
เมื่อเห็นลีลาการซักถามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน เชื่อว่าแกนนำรัฐบาล-พรรคเพื่อไทย น่าจะหยิบ “แผนสำรอง” นี้ขึ้นมาจัดเตรียมเอาไว้ เพราะน่าจะเห็นสัญญาณบางอย่างที่ดูไม่ใช่สัญญาณที่ดีต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน !!!
ภาพประกอบจาก www.nationchannel.com
