ลึกสุดใจ "ปลัดเกษตรฯ" ในวันที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลคดีลำไยอบแห้ง
ลึกสุดใจ "ปลัด ก.เกษตรฯ" ในวันที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคดีลำไยอบแห้ง “ผมไม่ห่วงคดีวินัย ส่วนเรื่องอาญา คงต้องไปสู้กันในชั้นอัยการ-ศาล” ระบุชัดอยากให้สังคมตั้งข้อสังเกต “ผู้บริหารระดับนโยบาย” หลุด “ปลาซิวปลาสร้อย” รับกรรม!
กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทั้งวินัยและอาญา กับผู้ถูกกล่าวหา ทั้งข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และเอกชน รวม 22 ราย ในคดีทุจริตโครงการแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้ง เมื่อปี 2547 โดยในจำนวนนี้ ปรากฏชื่อ นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรฯ คนปัจจุบันรวมอยู่ด้วย ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ นั้น
(อ่านประกอบ:ป.ป.ช.ฟัน "ปลัด ก.เกษตร" คดีแปรรูปลำไย “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รอด)
ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
โดยนายชวลิต กล่าวยืนยันหนักแน่น ว่า ตนไม่มีความหนักใจในเรื่องคดีความทางวินัย ภายหลังจากที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีนี้ เพราะในช่วงก่อนปี 2550 ทางกระทรวงเกษตรฯ เคยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนทางวินัย ตนและข้าราชการอีก 6 ราย ก่อนจะได้ข้อยุติว่า ไม่พบความผิดอะไรเกิดขึ้น
“ตอนที่เรื่องนี้ถูกตรวจสอบพบปัญหา ทางป.ป.ช. ได้แจ้งเรื่องเข้ามา ตอนนั้นทางกระทรวงเกษตรฯ ในสมัยที่คุณหญิงสุดารัตน์ (เกยุราพันธุ์) ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน โดยเชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาร่วมสอบด้วย และเท่าที่ผมจำได้ มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา 3 ชุด มีการเรียกตัวผมและข้าราชการไปให้ปากคำ เขาตรวจสอบละเอียด ดูไปถึงหลักทรัพย์เงินในบัญชี ทั้งหมด ก่อนจะสรุปว่า ไม่มีมูลความผิดและให้ยุติเรื่อง ซึ่งผลสอบคณะกรรมการที่ออกมาก็เหมือนกันทั้ง 3 ชุด ”
นายชวลิต ยังกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ในช่วงปี 2550 ที่ผ่านมา มีการออกพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 ออกมาบังคับใช้ ซึ่งคดีลำไยอบแห้ง ก็ได้รับอานิสงส์ ไปด้วย
“ หลังจากที่ ป.ป.ช.แถลงชี้มูลความผิดออกมา ผมได้แจ้งเรื่องนี้ให้ทางรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) รับทราบแล้ว และท่านก็เข้าใจเรื่องดี ดังนั้น เรื่องทางวินัยจึงไม่น่ามีอะไรห่วง เรามีหลักฐานสู้ในเรื่องนี้ได้ ”
ส่วนการต่อสู้ทางคดีอาญานั้น นายชวลิต ยืนยันว่า เป็นเรื่องที่คงจะต้องไปสู้กันในชั้นอัยการ ชั้นศาลต่อไป แต่ตนมั่นใจว่า จะไม่มีปัญหาอะไร เพราะในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการลำไยอบแห้งดังกล่าว ตนไม่ได้ส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย
“ในช่วงที่ทำโครงการลำไยอบแห้ง ผมอยู่ในตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ งานที่ได้รับมอบหมาย คือ การริเริ่มโครงการ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับขั้นตอนการจัดหาบริษัทเข้ามารับงานลำไยอบแห้งเลย ไม่ได้เป็นผู้กำหนดคุณสมบัติ (สเปค) หรือไปคัดเลือกบริษัทมา และบางช่วงเวลาก็มีการเดินทางไปต่างประเทศด้วย ”
ปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวย้ำว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในโครงการลำไยอบแห้ง อยู่ในขั้นตอนการปฏิบัติ ของ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกบริษัท ปอเฮง อินเตอร์เทรด จำกัด เข้ามารับงาน การรับซื้อลำไยที่ถูกระบุข้อมูลว่ามีลำไยลม (ไม่มีลำไยจริง) ปะปนอยู่ รวมถึงการว่าจ้างให้บริษัทปอเฮงฯ นำลำไยไปอบแห้ง แต่บริษัท ไม่ยอมนำลำไยมาส่งมอบคืนให้
“ ผมเคยทำเรื่องไปขอชี้แจง ป.ป.ช. หลายครั้งแล้ว ว่า ผมไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย ไม่ได้เซ็นอนุมัติอะไรด้วย งานในส่วนที่มีปัญหาอยู่ในขั้นตอนการปฏิบัติงานของ อ.ต.ก. แต่สุดท้ายก็ยังถูกชี้มูลด้วย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเป็นแบบนี้ ”
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ผู้บริหารระดับสูงระดับนโยบายของ กระทรวงเกษตรฯ ในขณะนั้นหลายคน ไม่ถูกชี้มูล ด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า “เรื่องนี้ผมไม่ทราบ ว่า ป.ป.ช. เขาคิดหรือมีข้อมูลอะไร แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่อยากให้สังคมช่วยกันคิด ว่าเกิดอะไรขึ้น ในท้ายที่สุดทำไม ข้าราชการระดับล่างจะต้องถูกระบุชื่อเป็นผู้รับผิดอยู่ตลอด ”
เมื่อถามว่า ยืนยันว่า ไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับโครงการนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ตอบว่า “ผมเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ในฐานะคณะกรรมการชุดริเริ่มทำโครงการ แต่ถามหน่อยว่า ใครจะรู้อนาคตบ้างว่า มันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะช่วงที่เริ่มต้นทำงานไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะมีปัญหาแบบนี้ ทุกคนอยากให้การดำเนินงานโครงการออกมาดี แต่อย่างที่บอกไป เมื่อทำไปแล้วโครงการมันมีปัญหา ในขั้นตอนปฏิบัติ คนที่อยู่ในส่วนริเริ่ม ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรด้วย ในขั้นตอนปฏิบัติเลย ไม่เคยเซ็นอนุมัติ ไม่ได้มีส่วนรวมในขั้นตอนการจัดหาบริษัทเอกชนเข้ามารับงาน แล้วต้องรับผิดชอบด้วย แบบนี้มันเป็นธรรมกับเราแล้วหรือ”
เมื่อถามว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นในโครงการฯ นี้ แท้จริงแล้วมีจำนวนเท่าไร ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ตอบว่า “เท่าที่ผมตรวจสอบข้อมูล พบว่า ราชการเสียงบประมาณให้กับโครงการฯ นี้ เฉพาะในส่วนที่มีการตั้งโต๊ะซื้อลำไยเท่านั้น ส่วนการว่าจ้างให้บริษัทปอเฮง ไปอบแห้ง และนำลำไย มาส่ง เรายังไม่ได้จ่ายเงินค่าจ้างให้บริษัทเลย และเมื่อเราไม่ยอมให้ค่าใช้จ่าย ทางบริษัท ก็เลยไม่เอาลำไยมาส่งคืนเรา แต่แอบเอาลำไยไปขายแทน”
“เรื่องนี้ เท่าที่ทราบหลังเกิดปัญหา มีการฟ้องร้องกันอยู่ โดยเฉพาะในคดีแพ่ง ที่เราเรียกค่าเสียหายจากบริษัทอยู่ และทางบริษัทฯ ก็ฟ้องร้องเราอยู่ด้วย เรื่องมันอีรุงตุงนัง กันไปหมด”
เมื่อถามว่า จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด พบว่า บริษัทปอเฮงฯ ถูกฟ้องล้มละลายไปแล้ว ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ตอบว่า “คดีมันไม่จบเลย เท่าที่ผมทราบบริษัทปอเฮงฯ เขามีเจ้าหนี้อยู่เยอะ และหลังจากที่บริษัทปอเฮงฯ ล้มละลายไปแล้ว เจ้าหนี้ของบริษัทก็มาขอให้สิทธิแทนปอเฮง ในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคืนจากกระทรวงเกษตรฯ
ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตนคิดว่าคงเป็นบนเรียนให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ได้ดี ว่าต่อไปนี้ จะทำอะไรตามคำสั่งอะไรใคร ก็ต้องระวังตัว เพราะเราไม่รู้ว่า ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ส่วนการต่อสู้คดีตนยังมั่นใจว่า สามารถชี้แจงให้อัยการ และศาลรับฟ้งได้ ว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยจริงๆ ตนมีหลักฐานและพยานยืนยันความบริสุทธิ์ได้ทั้งหมด