"ปลัดยุติธรรม"ชง5ทางออกปท."เลื่อนเลือกตั้ง"จี้รัฐบาลทบทวนบทบาท
"ปลัดยุติธรรม" ชง 5 ทางออกปฎิรูปประเทศในกระแสความขัดแย้ง "เลื่อนเลือกตั้ง 2 ก.พ.57" ชี้รัฐบาลสามารถโอนอ่อนได้มากเท่าใดยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น จี้เปลี่ยนบทบาทจากเจ้าภาพสู่ฐานะหนึ่งในผู้มีส่วนได้เสีย ปล่อยให้เป็นหน้าที่เวทีกลางกำหนดรายละเอียด-ทิศทาง
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2557 นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊ค "Kittipong Kittayarak (กิตติพงษ์ กิตยารักษ์)" ถึงข้อเสนอ “ปฏิรูปอย่างไรในกระแสความขัดแย้ง”
โดยระบุข้อเสนอ 5 ประการ ดังนี้
1. ขอให้เลื่อนการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ออกไปเพื่อนำไปสู่ระยะเวลาที่เพียงพอในการหารือถึงกรอบแนวทางที่ชัดเจนที่จะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นการเลือกตั้งที่นำไปสู่การปฏิรูปอย่างแท้จริง การเสนอให้เลื่อนการเลือกตั้งในครั้งนี้มิได้มองในประเด็นปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถเกิดขึ้นและนำไปสู่ความสมบูรณ์ของสภาผู้แทนราษฎรและความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นตามที่ กกต. ได้นำเสนอเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึงเป้าหมายหลักว่าการเลือกตั้งจะนำไปสู่การปฏิรูปอันจะเป็นหนทางที่ทำให้ประเทศก้าวพ้นจากความขัดแย้งอันเป็นความต้องการร่วมกันของทุกฝ่ายหรือไม่ หากพิจารณาในแง่นี้น่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อนเพื่อให้มีเวลาเพียงพอที่คู่ขัดแย้งจะได้ร่วมหารือกันใน “เวทีกลาง” เพื่อนำมาสู่การยอมรับในกรอบแนวทางการปฏิรูปและหลักประกันที่จะทำให้การปฏิรูปเกิดได้จริงหลังการเลือกตั้งร่วมกัน
2. การเลื่อนการเลือกตั้งในมุมมองดังกล่าวต้องนำมาสู่ข้อตกลงที่ทุกฝ่ายจะเข้าร่วมหารือกันใน “เวทีกลาง” ทุกฝ่ายในที่นี้ ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ กปปส. พรรคเพื่อไทย รัฐบาล นปช. พรรคการเมืองอื่นๆ ผู้เกี่ยวข้องที่เหมาะสม เช่น กลุ่มเครือข่ายปฏิรูป ตัวแทน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ได้มาหารือร่วมกันถึงกรอบกว้างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดตั้ง “คณะกรรมการ” หรือ “คณะทำงาน” ที่ได้รับการยอมรับที่มีหน้าที่ในการไปทำ Roadmap ที่ชัดเจนเรื่องการปฏิรูป ได้แก่ รูปแบบขององค์กร สถานะทางกฎหมายที่เป็นหลักประกัน ประเด็นการปฏิรูปและการทำให้มีผลผูกพัน การจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของประเด็น รูปแบบของรัฐบาลเพื่อการปฏิรูปหลังการเลือกตั้ง เป็นต้น
การดำเนินการในแนวทางนี้องค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญที่สุดของความความสำเร็จในทัศนะของผมก็คือการสร้างหลักประกันเพียงพอที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่อีกพรรคหนึ่งเข้ามาร่วมการเลือกตั้งในครั้งนี้ และกปปส.ยอมยุติในการรวมพลังชั่วคราว แล้วปรับยุทธศาสตร์ไปสู่การสร้างมวลชนในการติดตามเฝ้าดูว่าการปฏิรูปซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการร่วมกันของทุกคนเกิดขึ้นจริงหรือไม่
สำหรับประเด็นว่าใครควรจะเป็นเวทีกลางนั้นอาจมีได้หลายแนวทาง แต่ต้องนำมาสู่การยอมรับร่วมกัน เช่นอาจริเริ่มโดย กกต.เป็นเจ้าภาพ เชิญคู่ขัดแย้งและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เช่น องค์กรที่มีผลงานด้านปฏิรูปเป็นที่ประจักษ์ ตัวแทนภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ ภาคราชการ เป็นต้น
3. หากทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าสมควรเลื่อนการเลือกตั้งออกไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง การเลื่อนการเลือกตั้งมีวิธีที่สามารถดำเนินการได้ตามกรอบของกฎหมาย ขณะนี้มีการให้ความสำคัญกับประเด็นเชิงเทคนิคกฎหมายเป็นอย่างมากจนบางครั้งทำให้เป้าหมายใหญ่คือการหาทางออกร่วมกันให้ประเทศถูกบดบังด้วยความเห็นทางกฎหมายที่ไม่ยืดหยุ่นอย่างน่าเสียดาย แน่นอนว่าความขัดแย้งที่ผ่านมาและบทบาทการตรวจสอบจากองค์กรต่างๆได้ทำให้ทุกฝ่ายได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาและตัดสินใจในเชิงที่เสี่ยงน้อยที่สุด เพราะเกรงว่าการตัดสินใจทางกฎหมายที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่การฟ้องร้องและผลกระทบทางการเมืองที่ตามมา จะเห็นว่าทางรัฐบาลเองก็มีผู้ให้สัมภาษณ์โดยตลอดว่าอำนาจในการตัดสินใจว่าควรดำเนินการอย่างไรเป็นของ กกต.เพราะเป็นเรื่องการเลือกตั้ง รัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ ในขณะที่กกต.ก็เสนอข้อมูลมาให้รัฐบาลพิจารณาตัดสินใจโดยมองว่ารัฐบาลเป็นผู้นำพระราชกฤษฎีกาขึ้นกราบบังคมทูลและรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งอันที่จริงตัวอย่างในอดีตเคยมีการนำพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ขึ้นกราบบังคมทูลมาแล้ว แม้รายละเอียดจะไม่ตรงกันทีเดียว นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 214 ก็ได้กำหนดช่องทางออกไว้ว่าในกรณีที่มี “ความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่” ระหว่างหน่วยงานเช่น รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้สามารถเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้ ในกรณีนี้หากรัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีมีความเห็นอย่างเป็นทางการว่ารัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้ ก็น่าจะเข้าลักษณะเกิดความขัดแย้งในเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับ กกต. ทางกกต.ก็น่าจะสามารถนำเรื่องเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้
4. การกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ควรกำหนดกรอบเวลาประมาณ 90 ถึง 180 วัน นับจากกำหนดวันเลือกตั้งเดิม คือเร็วที่สุดที่จะสามารถหารือกันเพื่อกำหนดองค์กรเพื่อการปฏิรูปที่มีรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับ กำหนดประเด็นหลักๆของการปฏิรูปพร้อมทั้งกรอบเวลาที่ชัดเจน กำหนดแนวทางและวิธีการที่จะทำให้ข้อเสนอการปฏิรูปผูกพันและเกิดขึ้นจริง กำหนดรูปแบบของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ต้องเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อการปฏิรูป และมีอายุเท่าที่จำเป็นเพื่อทำหน้าที่นั้นโดยพรรคการเมืองทุกพรรคต้องตกลงร่วมกันก่อนการเลือกตั้ง เป็นต้น ในการคิดถึงระยะเวลาที่เหมาะสมอาจต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่เพียงพอให้การทำประชามติถ้าจำเป็นคือกรอบเวลา 90 วันไว้ด้วย เพราะหากมีประเด็นที่ไม่สามารถตกลงกันได้ หรือมีประเด็นสำคัญที่ต้องการสอบถามความเห็นประชาชนก็สามารถใช้ช่วงเวลาของการเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นใหม่เป็นโอกาสในการสอบถามประชาชนโดยประชามติในคราวเดียวกันเลย
5. ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงให้ครบถ้วนคือเรื่องบทบาทของรัฐบาลรักษาการก่อนการเลือกตั้ง เพราะในท่ามกลางความขัดแย้งย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายหนึ่งของคู่ขัดแย้ง รัฐบาลจึงต้องตระหนักว่าการคงอยู่ในบทบาทของรัฐบาลรักษาการย่อมนำมาสู่ความไม่ไว้วางใจของคู่ขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการพิจารณาถึงการ “เลือกตั้ง” และ “การปฏิรูป” ซึ่งเป็นเรื่องของกรอบในอนาคตซึ่งต่างฝ่ายต่างเป็นคู่แข่ง คู่ขัดแย้ง และมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง รัฐบาลจึงต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่จะลดความไม่ไว้วางใจดังกล่าวนี้ ในสถานการณ์ของความขัดแย้งการดำเนินการที่นำไปสู่การสร้างความไว้วางใจและลดความขัดแย้งหากรัฐบาลสามารถโอนอ่อนได้มากเท่าใดก็จะยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการโดยด่วนคือเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเจ้าภาพการปฏิรูปไปสู่บทบาทของหนึ่งในผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) โดยปล่อยให้การกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการและทิศทางการปฏิรูปเป็นเรื่องของเวทีกลางที่จะเกิดขึ้น
อ่านประกอบ :กิตติพงษ์ กิตยารักษ์:“ปฏิรูปอย่างไรในกระแสความขัดแย้ง”
