เพิ่มโทษจำคุกสื่อ เสนอข่าว-ภาพละเมิดสิทธิเด็ก โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
แม้ประเทศไทยที่จะมีกฎหมายเกี่ยวกับการเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กและ เยาวชน(บุคคลที่มีอายุไม่ถึง 18 ปี)มานานถึง 20 ปีแล้วก็ตาม แต่สื่อมวลชนทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ก็ยังละเมิดสิทธิเด็กกันอยู่เนืองๆ แม้ว่า ความถี่จะลดน้อยลงก็ตาม
กฎหมายฉบับแรกที่ให้การคุ้มครองสิทธิเด็กโดยตรงฉบับแรกคือ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว และและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนคือ การโฆษณาซึ่งคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบ ครัว ห้ามระบุชื่อ หรือแสดงข้อความ หรือกระทำการด้วยประการใด ๆ อันจะทำให้รู้จักตัวเด็กหรือเยาวชนซึ่งเป็นจำเลย เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล(มาตรา 98)
ผู้ที่ฝ่าฝืนมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่กฎหมายฉบับนี้ก็มีข้อจำกัดว่า คุ้มครองเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ตกเป็นจำเลยในศาลเท่านั้น มิได้ครอบคลุมถึงเด็กและจำเลยที่ตกเป็นผู้ต้องหาหรือในชั้นพนักงานสอบสวน
แม้ต่อมาจะมีการตรา พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ซึ่งมีบทบัญญัติขยายการคุ้มครองเด็กและเยาวชนออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาหรือเป็นเหยื่อในคดีอาญา แต่กินความถึงเด็กและเยาวชนทั่วไปด้วย
“ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภท ใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ” (มาตรา 27 )
ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 79 )
แต่ปรากฏว่า ตั้งแต่กฎหมายทั้งสองฉบับบังคับใช้ ยังไม่มีสื่อมวลชนรายใดถูกดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าว ทั้งๆที่มีการละเมิดสิทธิเด็กด้วยการเผยแพร่ภาพและข่าวอยู่เป็นประจำ
ถ้าจะเอาผิดกันจริงๆแล้ว คงมีผ็ประกอบวิชาชีพหรือผู้บริหารติดคุกกันหลายคน
ตัวอย่างชัดๆคือ กรณี “แพรวา”ในคดีรถตู้ 10 ศพ บนทางยกระดับดอนเมือง-ดินแดง(โทลล์เวย์) แม้หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เสนอภาพผู้ต้องหาเยาวชนโดยการพรางหน้า แต่เปิดหน้าพ่อ-แม่ หรือบางแห่งเสนอภาพผู้ต้องหาที่ใส่แว่นดำเท่านั้น
หรือรายการเล่าข่าวบางรายการที่ประณามเด็กหญิงอายุ 15 ปีว่า ใจแตก คลอดทิ้งให้ยายเลี้ยง แล้วมีภาพยายอุ้มหลานให้สัมภาษณ์ระบุชื่อ นามสกุล เสร็จสรรพ
อย่างไรก็ตามล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มีผลบังคับใช้ หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2553 (พ้นกำหนด 180 วันจากที่มีประประกาศในราชกิจจุนุเบกษา ทำให้มีผลยกเลิก พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนฯ พ.ศ.2534 )
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ นอกจากปรับปรุงอำนาจหน้าที่และโครงสร้างของศาลเยาวชนและครอบครัว กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้สอดคล้องเหมาะสมแล้ว
ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิสวัสดิภาพ และวิธีปฏิบัติต่อเด็ก เยาวชน สตรี และบุคคลในครอบครัว รวมทั้งกระบวนการพิจารณาคดีของศาลเยาวชนและครอบครัวที่มีความเข้มข้นและคุ้ม ครองสิทธิเด็กและเยาวชนมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี ในทุกรูปแบบ
ทั้งนี้ ในส่วนของการปฏิบัติต่อเด็ก(อายุไม่เกิน 15 ปี)และเยาวชน(อายเกิน 15ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี) รวมถึงครอบครัวโดยเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะมีการขยายขอบเขต การคุ้มครองจากเดิมที่จำกัดเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ตกเป็นจำเลยในศาล เป็นเด็กและเยาวชนที่เป็นตกผู้ต้องหาในชั้นพนักงานสอบสวนด้วย
นอกจากนั้นยังเพิ่มบทลงโทษแก่ผุ้ฝ่าฝืนในการเผยแพร่ข่าวและภาพของเด็กและ เยาวชน รวมถึงครอบครัวที่เป็นคู่ความในศาลด้วยโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
หนึ่ง มาตรา 76 เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด ห้ามมิให้เจ้าพนักงานผู้จับกุมเด็กหรือเยาวชน หรือพนักงานสอบสวนจัดให้มีหรืออนุญาตให้มีหรือยินยอมให้มีการถ่ายภาพหรือ บันทึกภาพเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด เว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการสอบสวน
บทบัญญัติในมาตรานี้ เป็นการควบคุมเจ้าพนักงานหรือพนักงานสอบสวนโดยเฉพาะ แม้ไม่มีบทกำหนดโทษการฝ่าฝืนบทบัญญัติไว้ในกฎหมายฉบับนี้ แต่พนักงานสอบสวนที่ชอบเอาตัวผู้ต้องหาเด็กและเยาวชนมาให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ เพื่อเป็นผลงานหรือสนองความต้องการของนักการเมืองหญิงบางคนก็เสี่ยงต่อการ ถูกดำเนินการทางวินัยหรืออาจถูกผู้เสียหายเล่นงานฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้
สอง มาตรา130 ห้ามมิให้ผู้ใดบันทึกภาพ แพร่ภาพ พิมพ์รูป หรือบันทึกเสียง แพร่เสียงของเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดหรือบุคคลที่เกี่ยว ข้อง หรือโฆษณาข้อความซึ่งปรากฏในทางสอบสวนของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือในทางพิจารณาคดีของศาลที่อาจทำให้บุคคลอื่นรู้จักตัว ชื่อตัว หรือชื่อสกุล ของเด็กหรือเยาวชนนั้น หรือโฆษณาข้อความเปิดเผยประวัติการกระทำความผิด หรือสถานที่อยู่ สถานที่ทำงาน หรือสถานศึกษาของเด็กหรือเยาวชนนั้น
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่การกระทำเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาโดย ได้รับอนุญาตจากศาลหรือการกระทำที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ
บทบัญญัติในมาตรานี้เป็นการขยายขอบเขตการคุ้มครองการห้ามเผยแพร่ข่าวและ ภาพของเด็กและเยาวชนที่ตกเป็นผู้ต้องหารวมถึง”ผู้เกี่ยวข้อง”ที่อาจทำให้ บุคคลอื่นรู้จักตัว ชื่อตัว หรือชื่อสกุล ของเด็กหรือเยาวชน ซึ่งกฎหมายฉบับเดิมคุ้มครองเฉพาะผู้ที่เป็นจำเลยในศาลเท่านั้น
สาม มาตรา 136 ในการโฆษณาไม่ว่าด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือซึ่งคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ห้ามมิให้ระบุชื่อ หรือแสดงข้อความ หรือกระทำการด้วยประการใด ๆ อันจะทำให้รู้จักตัวเด็กหรือเยาวชนซึ่งเป็นจำเลย เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
บทบัญญัติมาตรานี้เป็นไปตามกฎหมายฉบับเดิมที่ต้องการคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่ตกเป็นจำเลยในศาล
นอกจากการการขยายขอบเขตการคุ้มครองดังกล่าวแล้ว ยังมีการเพิ่มโทษผู้ฝ่าฝืน จากเดิมจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5,000 บาท เป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา 192)
การพัฒนากฎหมายฉบับนี้ให้เข้มข้นขึ้นก็เพื่อมุ่งคุ้มครองเด็ก เยาวชนและสถาบันครอบครัวมิให้ถูกละเมิดสิทธิ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ดังนั้น สื่อมวลชนที่ชอบเผยแพร่ข่าวและภาพด้วบความเคยชินหรือตกเป็นเครื่องมือหา เสียงของนักการเมืองหญิงพึงระวังเพราะอาจถูกดำเนินคดีด้วยโทษจำคุกที่หนัก มากยิ่งขึ้น .