เปิด 7 เหตุผล “ครม.ปู” ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุมม็อบ กปปส.
“...การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าว เป็นการชุมนุมโดยไม่สงบและมุ่งหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ...รวมทั้งส่งผลกระทบต่อกระบวนการเลือกตั้งและกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย...”

เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2557 ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย กทม. จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี เฉพาะ อ.ลาดหลุมก้ว และ จ.สมุทรปราการ เฉพาะ อ.บางพลี ระหว่างวันที่ 22 ม.ค.2557 ถึงวันที่ 22 มี.ค.2557
ช่วงค่ำวันเดียวกัน ราชกิจจานุเบกษา ก็ได้เผยแพร่ประกาศ 2 ฉบับ และคำสั่ง 3 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินดังกล่าว
- ประกาศฉบับที่ 1 “ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่ กทม. จ.นนทบุรี อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี และ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ” นอกจากสาระสำคัญจะอยู่ที่การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ 4 จังหวัดดังกล่าวแล้ว ยังมีบรรยายถึงเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินครั้งนี้ด้วย
“สำนักข่าวอิศรา” ไล่เรียงตามคำบรรยาย ดังกล่าว พบว่ามีอยู่ 7 เหตุผลหลัก ประกอบด้วย
“โดยที่ปรากฏว่า ได้มีกลุ่มบุคคลดำเนินการที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยมีการปลุกระดมเชิญชวน ทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา และการสื่อสาร ด้วยวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่ทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในหลายพื้นที่ และเพื่อให้มีการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายของแผ่นดิน คำสั่งและหมายของศาล ด้วยการยุยงให้ประชาชนชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
1.มีการปิดการจราจรในถนนสำคัญ บุกรุกและยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง
2.ไล่ข้าราชการ พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกจากสถานที่ราชการ ตัดน้ำตัดไฟ ปิดระบบฐานข้อมูล เอาโซ่คล้องประตูเพื่อไม่ให้ข้าราชการ พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ทำให้การบริหารของรัฐให้แก่ประชาชน ไม่ว่าการจดทะเบียนใบอนุญาต หรือการบริหารขั้นพื้นฐาน ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ก่อให้เกิดความวุ่นวาย เกิดความล่าช้า และสูญเสียทางเศรษฐกิจ
3.มีความพยายามจะเข้าควบคุมตัวผู้บริหารหรือบุคคลสำคัญที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน
4.ขัดขวางการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชนทั่วไป ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อน เสียหายและเกรงกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ตลอดจนมีการใช้กำลังขัดขืนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย
5.มีการกระทำการในลักษณะอันเป็นการขัดขวางการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่กำลังจะจัดให้มีขึ้น อันกระทบต่ออำนาจอธิปไตยและสิทธิของปวงชนชาวไทยตามที่รัฐธรรมนูญรองรับไว้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย ซึ่งมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย คุ้มครองและผูกพันรัฐสภา ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง
6.มีการใช้สถานที่เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีเจตนาบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิด เพื่อให้กระทำการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างๆ
และ 7.มีบุคคลบางกลุ่มได้ก่อเหตุร้ายหลายครั้งโดยต่อเนื่อง เพื่อมุ่งให้เกิดความเสียหายและไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
“จากสถานการณ์ที่มีเหตุยืดเยื้อ และมีการละเมิดต่อกฎหมายเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะได้มีการประกาศใช้มาตรการต่างๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อป้องกัน ควบคุม และแก้ไข ระงับ ยับยั้ง การกระทำดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจะมีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและกระบวนการใช้กฎหมายยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศและเกิดความเสียหายหรือไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์
“การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าว เป็นการชุมนุมโดยไม่สงบและมุ่งหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมาย กรณีเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ อันเป็นการกระทำที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อกระบวนการเลือกตั้งและกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย และกระทบต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์”
อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของ ครม.จึงให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 4 จังหวัดข้างต้น
- ประกาศฉบับที่ 2 “ประกาศตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548” สาระสำคัญคือการให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ 12 ประการ อาทิ ให้จับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ ให้ออกคำสั่งเรียกให้บุคคลใดมารายงานตัว ให้ออกคำสั่งยึดหรืออายัดอาวุธ ให้ตรวจค้นรื้อถอนหรือทำลายอาคาร ให้บุคคลใดห้ามออกนอกราชอาณาจักร ฯลฯ เป็นต้น
- คำสั่งฉบับที่ 1 “คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ พิเศษ 1/2557 เรื่อง การจัดตั้งศูนย์รักษาความสงบ” สาระสำคัญคือจัดตั้งศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ที่ให้ รมว.แรงงาน (ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นผู้อำนวยการ ศรส. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว) และปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นรองผู้อำนวยการ ศรส. มีกรรมการ ศรส.อื่นอีก 27 คน โดยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นกรรมการและเลขานุการ
- คำสั่งฉบับที่ 2 “คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ พิเศษ 2/2557 เรื่อง แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง” สาระสำคัญ คือการกำหนดให้ ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะผู้อำนวยการ ศรส.เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบ พนักงานเจ้าหน้าที่และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และให้ พล.ต.อ.อดุลย์ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในเขตท้องที่ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
- คำสั่งฉบับที่ 3 “คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ พิเศษ 3/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะบุคคลเป็นที่ปรึกษาการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” สาระสำคัญ คือแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา ศรส. โดยมีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ เป็นประธานที่ปรึกษา ศรส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ 4 จังหวัดดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้ดาวกระจายชัตดาวน์ กทม.ด้วยการปิดแยกสำคัญ 7 จุดใน กทม. ตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค.2557 ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 2 ก.พ.2557 นี้
