มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ จี้ รบ.ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ แถลงการณ์จี้ รบ.รักษาการณ์ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน วอนทุกกลุ่มยุติการสร้างเงื่อนไขสู่ความรุนแรง ชี้ชุมนุมที่ผ่านมายังสงบ ควรเคารพสิทธิผู้เห็นต่าง

วันที่ 24 มกราคม 2557 มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ที่มี นางอังคณา นีละไพจิตร เป็นประธานฯ ได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ "รัฐบาลรักษาการณ์ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และขอเรียกร้องให้ทุกกลุ่มยุติการสร้างเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความรุนแรง"
โดยระบุว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จ.นนทบุรี จ.สมุทรปราการ เฉพาะอำเภอบางพลี และจ.ปทุมธานี เฉพาะอำเภอลาดหลุมแก้ว เพื่อใช้ดูแล ควบคุมสถานการณ์การชุมนุม ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 และต่อมาได้ประกาศข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2557 โดยห้ามการชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป รวมถึงห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งสิ่งพิมพ์ การห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ห้ามใช้อาคาร หรือให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนด เป็นต้น
มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ มีความกังวลและห่วงใยต่อการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ¬๒๕๔๘ และข้อกำหนดดังกล่าว เนื่องจาก
1.เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง มิใช่สถานการณ์การก่อการร้าย หรือคุกคามการอยู่รอดของชาติ หรือหรือเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยสาธารณะ ดังนั้นรัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยวิถีทางทางการเมือง และด้วยสันติวิธีมิใช่ใช้ความรุนแรงเพื่อยุติความรุนแรง
2.การชุมนุมที่ผ่านมายังถือเป็นการชุมนุมโดยสงบ รัฐบาลจึงควรเคารพสิทธิของผู้ที่เห็นต่าง การห้ามการชุมนุม หรือการปิดกั้นเสรีภาพสื่อ ยิ่งจะเป็นการยั่วยุ และจะทำให้เกิดการต่อต้านมากขึ้น อีกทั้งจะทำให้ประชาชนไม่อาจเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงต่างๆอย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง
3.พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้ให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่เจ้าหน้าที่ในการใช้ดุลพินิจในการตรวจค้น และควบคุมตัวประชาชนได้ 30 วันโดยไม่ต้องมีข้อกล่าวหา หรือเหตุแห่งการกระทำผิด อีกทั้งยังให้ภูมิคุ้มกันแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการไม่ต้องรับผิดทางกฎหมายทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง ซึ่งถือเป็นการขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล
มูลนิธิฯ เชื่อมั่นว่าในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม รัฐบาลสามารถใช้กฎหมายปกติได้ หากมีการใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่อย่างเต็มที่ในการหาตัวผู้กระทำให้เกิดความรุนแรงมาลงโทษ และคุ้มครองชีวิตของประชาชน โดยไม่มีความจำเป็นต้องออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
มูลนิธิฯ มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลรวมถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
1.ขอให้รัฐบาลยกเลิกประกาศประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยทันที
2.ให้รัฐบาลเร่งหาแนวทางเจรจากับกลุ่มผู้เห็นต่างในการหาทางออกร่วมกัน โดย ใช้หลักรัฐศาสตร์ หลักมนุษยธรรม และการยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีเป็นแนวทางแก้ไขปัญหา
3.กปปส.และทุกกลุ่มต้องยุติและหาแนวทางป้องกันการสร้างความเกลียดชัง การยั่วยุ การเหยียดหยามทางเพศ หรือการผลักใสให้ประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นศัตรูต่อกัน ควรมีการหารืออย่างสร้างสรรค์เพื่อหาทางออกร่วมกันบนพื้นฐานของความอดทน อดกลั้น ความจริงใจและการยอมรับในความเห็นที่แตกต่างเพื่อให้สังคมไทยกลับสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด
ภาพประกอบจาก www.mediamonitor.in.th
