ลึกสุดใจ!“รักชนก"หญิงกล้า กปปส.ผู้นำฝูงชน"สวดมนต์"เผชิญหน้า"ตำรวจ"
"..ปกติตนเองเป็นคนไม่กลัวอะไร และถ้าวันนั้น เกิดเหตุรุนแรงอะไรขึ้น ตนก็ไม่กลัว และหากต้องเสียชีวิตลง ก็ไม่เสียดาย เพราะถือว่า เราตายอย่างมีสติ เราเลือกที่ตายได้ และวันนี้ เราก็เลือกที่จะตายเพื่อชาติด้วย.."

“ตอนที่เห็นตำรวจกำลังจะบุกเข้ามา ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ไม่อยากให้มีการปะทะเกิดขึ้น เพราะถ้าเกิดเหตุขึ้นมาจริง มันจะมีแต่ความสูญเสีย และฝ่ายที่สูญเสียที่เจ็บปวดก็คงเป็นฝ่ายประชาชน ไม่ใช่ตำรวจ เพราะเราไม่มีอาวุธอะไรเลย เรามีแค่มือเปล่าๆ กับนกหวีดหนึ่งอัน”
“เมื่อคิดได้แบบนี้ ดิฉันจึงตัดสินใจ เดินออกไปเผชิญหน้าตรงจุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียงแถวอยู่ ก่อนจะเริ่มสวดมนต์ เพื่อหวังให้ทั้งฝ่ายตำรวจและผู้ชุมนุมได้ยิน และมีสติก่อนจะตัดสินใจทำอะไรรุนแรงลงไป”
นี่คือความคิดวูบแรก ที่เกิดขึ้นในสมองของ “รักชนก สุธรรมมาภรณ์” หนึ่งในประชาชนที่สนับสนุนการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ของ กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ภายใต้การนำของ กำนันสุเทพ หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.
ก่อนจะสร้างวีรกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต จนถูกกล่าวขานไปทั่วโลก ด้วยการออกไปเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยนายเพียงลำพังคนเดียว ก่อนที่จะนั่งลงกับพื้น และ “สวดมนต์” ในระหว่างการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่สะพานมัฆวาน ในช่วงสายวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา
จนกระทั่งเหตุการณ์สงบ ไม่มีความรุนแรงอะไรเกิดขึ้น!
“เท่าที่จำได้ วันนั้น ไม่รู้สวดมนต์จบไปกี่บท แต่รู้ว่านั่งสวดอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมง และหลังจากที่เหตุการณ์ยุติลง ไม่มีความรุนแรงอะไรเกิดขึ้น เราก็คิดว่าเราตัดสินใจถูกแล้วที่ทำแบบนั้นลงไป”
“รักชนก สุธรรมมาภรณ์” กล่าวย้ำกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org อีกครั้ง ถึงผลลัพธ์การตัดสินใจของเธอในวันสำคัญวันนั้น
ก่อนจะเล่าถึงที่มาที่ไปของตนเองให้ฟังว่า ปัจจุบันเธออายุ 40 ปีเศษ เป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นประชาชนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่สนับสนุนการเคลื่อนไหว ของกลุ่ม กปปส.
หลังจากเห็นว่า พฤติกรรมของรัฐบาลชุดปัจจุบัน มีความไม่เหมาะสมหลายเรื่อง บ่งบอกถึงภาวะยึดติดและหลงไหลอำนาจของคนในรัฐบาล จนทำอะไรก็ได้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
จึงตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. มาตั้งแต่ช่วงเริ่มตั้งเวทีใหม่ๆ ที่ถนนราชดำเนิน
"รักชนก" เล่าต่อไปว่า “ในวันเกิดเหตุ หลังจากได้ยินข่าวว่า ตำรวจจะมาขอพื้นที่คืนจากกลุ่ม คปท. (กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ) ก็มีเป็นห่วงมาก จึงรีบเดินทางไปตรงบริเวณสะพานมัฆวานกับเพื่อนผู้ชุมนุมอีกหลายคน เพื่อช่วยเหลือกลุ่ม คปท.ทันที
“ช่วงที่เดินทางไปถึง ทุกอย่างมันสับสนวุ่นวายมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มตั้งแถวแล้ว ขณะที่ผู้ชุมนุม ก็เริ่มที่จะไม่ฟังเสียงอะไรใคร ตะโกนด่าตำรวจอยู่ตลอด ดิฉันจึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อเรียกสติของทุกฝ่ายกลับคืนมา”
“รักชนก” ระบุว่า ช่วงเวลานั้น เธอนึกถึงคำพูดของคุำนันสุเทพ ที่กล่าวย้ำบนเวทีปราศรัยอยู่ตลอดว่า ถ้าตำรวจจะเข้ามาทำร้ายเรา อย่าไปต่อสู้ ให้นั่งลงกับพื้น และสวดมนต์สู้ เขาจะทำร้ายอะไรเราก็ปล่อยเขา ตามหลักการต่อสู้แบบอสิงหา
“จำได้ว่า ตอนนั้นหันหน้าไปชวนผู้ชุมนุมคนข้างๆ ให้ไปสวดมนต์กัน แต่ไม่มีใครสนใจ เข้าใจว่าทุกคนกำลังมีอารมณ์โกรธกันอยู่ ก็เลยออกไปคนเดียว ก่อนจะนั่งและเริ่มสวดมนต์ ไล่ไปที่ละบท ตั้งแต่อิติปิโส พาหุงมหากา ชินบัญชร จนกระทั่งบทแผ่เมตตา ไล่สวดไปเรื่อย กี่รอบจำไม่ได้ จนกระทั่งผู้ชุมนุมได้ยิน ก็เริ่มสวดมนต์ตามกัน”

เมื่อถามว่า ไม่กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อตนเองหรือ “รักชนก” ตอบเสียงดังฟังชัดว่า "ไม่กลัวหรอก เพราะดิฉันเป็นคนที่เชื่อมั่นในความดี เชื่อว่าถ้าเราทำความดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะคุ้มครองเรา”
“การที่เราออกมาช่วยชาติ ปกป้องชาติไม่ให้เกิดความเสียหาย เป็นสิ่งที่ดี เราไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร และการสวดมนต์ก็เป็นการช่วยเรียกสติของเราให้กลับคืนมาได้ ในสถานการณ์ที่คับขัน ซึ่งดิฉันเชื่อว่า ทั้งตำรวจ และผู้ชุมนุม ที่ได้ยินเสียงสวดมนต์ของดิฉัน และกำลังอยู่ในอารมณ์ร้อน ทุกคนได้สติกลับคืนมา เมื่อได้สติกลับคืนมาเหตุการณ์รุนแรงมันก็จะไม่เกิดขึ้น”
“รักชนก” ยังระบุด้วยว่า ปกติตนเองเป็นคนไม่กลัวอะไร และถ้าวันนั้น เกิดเหตุรุนแรงอะไรขึ้น ก็ไม่กลัว และหากต้องจบชีวิตลง ก็ไม่เสียดาย เพราะถือว่า เราตายอย่างมีสติ เราเลือกที่ตายได้ และวันนี้ เราก็เลือกที่จะตายเพื่อชาติด้วย
เมื่อถามว่า เป็นคนที่พกบทสวดมนต์ติดต่ออยู่เป็นประจำหรือไม่ “รักชนก” ตอบว่า ปกติสวดมนต์เป็นประจำอยู่แล้ว
“ส่วนบทสวดมนต์ที่ใช้ในวันนั้น ก็ได้มาจากเวทีชุมนุม เขามีการพิมพ์แจกให้กับผู้ที่มาเข้าร่วมชุมนุม ซึ่งขอบอกว่า มันสะดวกต่อการพกพามาก และหลังจากที่ได้มาก็พกติดตัวไว้ตลอด”
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่ตอนนี้ กลายเป็นคนดังระดับโลก “รักชนก” ตอบว่า ไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่เคยคาดหวังว่าสิ่งที่ตนเองทำลงไปจะโด่งดัง หรือทำเพื่อให้ใครยกย่อง ทุกวันนี้ ไปร่วมชุมนุม ก็ยังต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ไม่อยากให้ใครจำได้ เพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจอะไรใครมากนัก
เมื่อถามว่า หลังเกิดเหตุได้คุยกับกำนันสุเทพบางหรือยัง “รักชนก” ตอบว่า ได้พบลุงกำนันแล้ว ได้จับมือทักทาย จากนั้นลุงกำนัน ก็ให้เล่าให้ฟังว่าเป็นใครมาจากไหน และวันนั้นเกิดเหตุอะไรขึ้นบาง ตนก็ได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปตามความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากกว่านั้น
เมื่อถามว่า หลังปรากฎตัวเป็นข่าวใหญ่โต กังวลเรื่องผลกระทบกับหน้าที่การงานหรือไม่ "รักชนก" ตอบว่า "ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงวันหยุด เลยไม่รู้ว่าจะมีผลอะไรหรือไม่ แต่การไปร่วมชุมนุมที่ผ่านมา ก็ไปนอกเวลาทำงาน ไม่ได้ทำให้งานประจำเสียหาย"
เมื่อถามว่า มองบทสรุปการต่อสู้ระหว่างประชาชน กับรัฐบาล ครั้งนี้อย่างไรบ้าง “รักชนก” ตอบว่า สถานการณ์ตอนนี้ มันยาวนานเกินไปแล้ว ทุกอย่างควรจะจบลงได้แล้ว
“ดิฉันไม่รู้อะไรมากนะ แต่ตัวเอง ก็คงจะร่วมชุมนุมต่อไปเหมือนเดิม จนกว่า ประชาชน จะได้รับชัยชนะ ครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้"
"แต่คิดว่า ปัจจัยสำคัญในขณะที่ ที่จะทำให้ผู้ชุมนุมได้รับชัยชนะ ก็คือ ตำรวจ ที่ยังคงทำหน้าที่เป็นมือเป็นไม้ให้รัฐบาลอยู่เลิกทำงานรับใช้รัฐบาล แล้วมายืนเคียงข้างประชาชน ถ้าตำรวจคิดได้ และเปลี่ยนใจ มาสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เมื่อไร ก็จะทำให้ประชาชน มีชัยชนะเหนือรัฐบาลได้เมื่อนั้น” รักชนกกล่าวทิ้งทายไว้อย่างน่าสนใจ
