“อภิสิทธิ์” รับแผนฯ 10 ประเทศประสบปัญหาการเมืองอย่างรุนแรง

จนส่งผลประทบต่อการพัฒนาประเทศ นายกฯ หวังการพัฒนาช่วงแผนฯ 11 ไม่เดินย่ำซ้ำรอยเดิม พร้อมฝากทุกฝ่ายในสังคมลดบรรยากาศความขัดแย้ง หาทางยุติการแบ่งแยกปชช. เปิดพื้นที่ทางการเมืองให้คนทุกกลุ่มเข้าร่วมได้อย่างสร้างสรรค์
วันที่ 7 กรกฎาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดการประชุมประจำปี 2554 แผนฯ 11 สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้า และการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประธานเปิดการประชุม และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "อนาคตประเทศไทย ในระยะ 5 ปีข้างหน้า"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ซึ่งจะประกาศใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2554 นั้น เป็นจังหวะเวลาที่ดี ที่จะมองไปข้างหน้า ด้วยเศรษฐกิจไทยได้ผ่านวิกฤตผลกระทบจากวิกฤตโลก มีความมั่นคงพอสมควร ขณะที่อัตราการเจริญเติบโตก็อยู่ในระดับที่สามารถสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างรายได้ เงินเฟ้อควบคุมได้ และมีฐานะการคลังที่มั่นคงพอสมควร ซึ่งอีก 5 ปี จึงเป็นโอกาสดีใช้ความมั่นคงทางเศรษฐกิจนี้ผลักดันเป้าหมายให้ได้ตามแผน ฯ 11 ที่วางไว้
"ร่างแผนฯ 11 ถือได้ว่า เป็นแผนฯ ของพี่น้องคนไทยอย่างแท้จริง เพราะได้ผ่านกระบวนการมีส่วนรวมอย่างกว้างขวาง ทำต่อเนื่องมากว่า 3 ปี จึงเป็นหลักประกันแผนนี้ตอบสนองความต้องการของประชาชน ประเทศชาติ ขณะที่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นก็ยังปรากฎอยู่ในแผนฯ นี้ ซึ่งมีความสำคัญทำให้การพัฒนาต่อไปข้างหน้าของประเทศมีความยั่งยืน”
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า แผนฯ 11 สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่นานาชาติได้ให้ความสำคัญ คือ การพัฒนาจากนี้ไป หัวใจอยู่ที่ความยั่งยืน ความสมดุล และให้ประชาชนได้ประโยชน์จากกระบวนการพัฒนาอย่างแท้จริง แต่ทั้งนี้ ประเทศไทยก็ยังต้องเผชิญความท้าทายการพัฒนาในช่วงแผนฯ 11 ใน 5 เรื่อง 1. เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดมาก สังคมไทยอยู่ในภาวะได้รับอิทธิพลจากกระแสโลกาภิวัฒน์ ขณะที่เศรษฐกิจโลกก็กำลังอยู่ในช่วงปรับดุลอำนาจทางเศรษฐกิจ จากเดิมอยู่ที่ สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น กำลังเคลื่อนมาสู่ประเทศขนาดใหญ่ เช่น บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ อีกทั้งการที่เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ในอีก 4 ข้างหน้า
“2.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งการเผชิญกับภาวะโลกร้อน ภัยพิบัติ ถือเป็นปัจจัยประการหนึ่งมีผลต่อขีดความสามารถทางการผลิต ภาคการเกษตร รวมทั้งการต้องเผชิญกับความมั่นคงด้านพลังงาน และอาหาร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า 3.สังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นจะต้องเตรียมเรื่องสวัสดิการ รองรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งการดูแลผู้สูงอายุ คนวัยนแรงงานเริ่มลดน้อยลง 4. ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมของประเทศไทยที่มีความรุนแรงเป็นพิเศษ จะมีการบริหารจัดการอย่างไร และ 5. ปัญหาการเมือง ยอมรับว่า 5 ปี แผนฯ 10 ประเทศประสบปัญหาการเมืองอย่างรุนแรง จนส่งผลประทบต่อการพัฒนาประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินการตามแผนฯ 11 เรื่องความเหลื่อมล้ำ ถือว่า ท้าทายความคิด กระบวนทัศน์อย่างมาก ในอดีตเรามองกระจายรายได้ คือการที่ภาครัฐจัดเก็บภาษีมาจากคนที่มีรายได้สูง มาจัดสรรเป็นงบฯ ช่วยคนด้อยโอกาส ณ วันนี้หลักคิดนี้ไม่เพียงพอแล้ว ซึ่งจำเป็นต้องคิดปฏิรูปโครงสร้างเข้ามาประกอบ ทั้งปฏิรูปเชิงโครงสร้างการถือครองที่ดิน ให้อำนาจชุมชน ขณะที่การลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน ก็ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีที่ยืน มีโอกาสด้วย
สำหรับการขับเคลื่อนประเทศใน 5 ปีข้างหน้านั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างโอกาสและพัฒนาคุณภาพของคน แม้จะมีการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 แล้วก็ตาม แต่เป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ ความสัมฤทธิ์ผลการเรียนของเด็ก เยาวชนไทย ยังเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก ดังนั้นไม่เฉพาะไปปรับระบบการศึกษาในโรงเรียนเท่านั้น ในอนาคตจะต้องดูแลตั้งแต่สถาบันครอบครัว จุดเริ่มต้นที่สำคัญ คือ เด็กเล็ก และดูระบบการศึกษาให้เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจได้อย่างกลมกลืน
“ที่อยากเน้นย้ำ คือการสร้างความมั่นคงในชีวิตและการมีหลักประกัน โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยมีความหลากหลาย ประชากรในภาคเกษตร มีจำนวนมาก แต่ความมั่นคงกลับมีน้อยสุด ซึ่งหากเราสามารถสร้างความมั่นคงได้ จัดการความสมดุลได้ ก็จะเป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง และปัญหาใหญ่อีกเรื่อง คือ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่นอกจากต้องสร้างระบบป้องกันความเสี่ยง ปรับระบบรองรับภัยพิบัติ ก็เป็นอีกเรื่องต้องผลักดันอย่างเร่งด่วน นำเครื่องมือทางการเงินการคลัง ระบบภาษีมาใช้ เพื่อให้การพัฒนาเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ความท้าทายเรื่องการเมืองนั้น หากสถานการณ์ทางการเมืองอีก 5 ปี ข้างหน้า ยังเป็นแบบ 5 ปีที่ผ่านมา แผนฯ 11 ก็จะไม่บรรลุเป้าหมาย ดังนั้นจึงหวังการเมืองเข้าสู่ระบบรัฐสภา ขณะที่ความลดความแตกแยกเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายในสังคมที่ทำอย่างไรจะลดบรรยากาศความขัดแย้ง หาทางยุติการแบ่งแยกประชาชนตามพื้นที่ และรายได้ รวมทั้งเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้ามาร่วมได้อย่างสร้างสรรค์
