คณิต ยัน คอป. ทำงานอิสระ ไม่โดนแทรกแซง พร้อมเดินหน้า “ปรองดอง”

คอป. เปิดใจ หวังรบ.เพื่อไทยให้อิสระการทำงาน ชี้สังคมไม่ควรพูดเรื่อง “นิรโทษกรรม” ควรพุ่งเป้าไปที่ผู้เสียหาย แย้มช่วงเลือกตั้งสัญญาณปรองดองเปิดกว้างขึ้น แนะปฏิรูปสถาบันทหาร ปัจจัยความขัดแย้ง
วันที่ 7 กรกฎาคม คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) จัดเสวนา เรื่อง “แนวทางดำเนินงานของ คอป. ต่อข้อเสนอการปรองดองของประเทศ” โดยมี ศ.คณิต ณ นคร ประธาน คอป. ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ กรรมการ คอป. และประธานอนุกรรมการด้านยุทธศาสตร์เพื่อการปรองดอง นายสมชาย หอมลออ กรรมการคอป. และประธานอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริง และศ.ดร.สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล กรรมการ คอป. และประธานอนุกรรมการด้านศึกษา ร่วมนำเสนอผลการดำเนินงาน ณ รร.รามาการ์เด้นส์กรุงเทพฯ
ดร.กิตติพงษ์ กล่าวว่า การทำงานของ คอป. ไม่ได้เป็นคณะกรรมการไต่สวนเฉพาะเหตุการณ์ความรุนแรงในเดือนเมษายนและ พฤษภาคมที่ผ่านมาเท่านั้นแต่ครอบคลุมผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความ รุนแรงทั้งหมด โดยที่มีกระบวนการทำงาน คือ ค้นหาความจริงของเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรง วิเคราะห์สาเหตุของความขัดแย้ง และสิ่งที่เป็นหัวใจที่ต้องเร่งทำ คือ การเยียวยา
“ด้วยยุทธศาสตร์การทำงานทั้ง 3 กระบวนการมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันความขัดแย้ง ขณะที่ปัจจุบันความคาดหวังสูงขึ้น มุ่งไปที่การปรองดอง ทางคณะทำงาน คอป. ก็พร้อมจะปรับโดยตั้งเป้าไปในการลดการเกิดความรุนแรง อันจะเป็นแนวทางสู่การปรองดอง”
ดร.กิตติพงษ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้สังคมไม่ควรพูดถึงการนิรโทษกรรมหรือไม่ ควรเล็งเห็นความสำคัญของผู้ที่ได้รับผลกระทบ และผู้เสียหายมากกว่า คณะกรรมการยึดถือหลักความเป็นกลาง และความเป็นอิสระ ซึ่งรัฐบาลชุดที่ผ่านมาเปิดโอกาสให้ได้ดำเนินการอย่างอิสระ จึงคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะให้ความเป็นอิสระเช่นกัน ทั้งนี้ยังต้องการความร่วมมือจากสังคมมากขึ้น การจะออกกฎหมายบังคับให้ คอป. หรือไม่นั้นไม่สำคัญเท่าความร่วมมือร่วมใจในสังคมอันจะนำไปสู่ความปรองดอง
“บทเรียนจากต่างประเทศทำให้ได้เห็นว่าที่ผ่านมาเรายังไม่ร่วมมือร่วมใจ เมื่อยังไม่เห็นหายนะกับตาข้างหน้าก็ยังไม่แก้ไข ไม่เอาจริงเอาจริง เชื่อได้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเกิดหายนะแน่นอน”
ขณะที่นายสมชาย กล่าวว่า การตรวจสอบค้นหาความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงในช่วงเมษายนและพฤษภาคมปีที่แล้ว มีจุดมุ่งหมายเพื่อสะท้อนความจริงต่อสังคม และลดความขัดแย้ง ซึ่งการจะลดความขัดแย้งและสร้างความปรองดองได้นั้นเงื่อนไขเบื้องต้น คือ การรับรู้และทำความเข้าใจร่วมกัน ไม่อย่างนั้นจะซ้ำรอยในอดีต ที่ผ่านมาเมื่อมีความรุนแรงก็พยายามจะลืม โดยไม่ได้แก้ที่สาเหตุ ซึ่งการศึกษาบทเรียนในต่างประเทศ และการค้นหาความจริงอาจทำให้ได้ผลที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องยอมรับความจริง แม้อาจจะขมขื่นบ้าง
“ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ผ่านมาเพียงพอต่อการเขียน รายงานการตรวจสอบ แม้ยังมีบางประเด็นที่ยังต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกอยู่บ้าง ทั้งนี้การดำเนินงานยอมรับว่าไม่ทันต่อความเรียกร้องต้องการ เพราะความขัดแย้งมีความซับซ้อนและยังดำเนินอยู่ การเปิดเผยสิ่งที่ค้นพบจึงต้องอาศัยรายละเอียดและเอกสารที่รอบครอบ รัดกุม และอาศัยจังหวะเวลาเพื่อเป็นประโยชน์สูงสุด ของสังคม และความเข้าใจที่ตรงกันในการสร้างความปรองดองในชาติ”
นายสมชาย กล่าวต่อว่า เนื่องจาก คอป. จัดตั้งจากระเบียบสำนักนายกจึงไม่สามารถออกหมายเรียกสอบพยานได้ ทั้งนี้ ภาครัฐและเอกชนไม่เข้าใจและไม่ให้ความร่วมมือ ด้วยเพราะเกรงว่าจะเกี่ยวพันกับคดีความ เหล่านี้นับว่าเป็นอุปสรรคในการทำงาน แต่ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ที่เริ่มเดินหน้าเรื่อง “การปรองดอง” นับว่าได้รับความร่วมมือและมีบรรยากาศดีขึ้นมาก ส่งสัญญาณว่าประตูแห่งความปรองดองเปิดกว้างมากขึ้น โดยคาดหวังว่า ไม่นานนี้จะสามารถนำเสนอรายงานการตรวจสอบบางประเด็นได้ และหวังว่าหลายองค์กรจะร่วมกันทำให้ความปรองดองเป็นจริงขึ้นได้
“การยอมรับความจริงและสาเหตุความขัดแย้งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการ สร้างความปรองดอง สาเหตุของความขัดแย้งไม่ใช่แค่การปฏิบัติการของผู้ขัดแย้งในท้องถนน และนโยบาย แต่เป็นปัญหาในทางโครงสร้างของสถาบัน เช่น สถาบันทหาร จึงต้องมีการปรับปรุง แก้ไขและ “ปฏิรูปโครงสร้างสถาบัน” หากต้องการให้ประเทศก้าวพ้นความรุนแรง ไปสู่สังคมสันติสุขจะต้องยอมรับและแก้ไขสิ่งเหล่านี้”
ในช่วงท้าย ศ.คณิต ได้ตอบข้อซักถาม กล่าวโดยสรุปว่า คณะกรรมการ คอป. จะมีรายงานความคืบหน้ามานำเสนอภายใน 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะเป็นข้อสรุปบางประการ แต่ไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การทำงานจึงมุ่งเน้นการใช้องค์ความรู้ และการสื่อสารกับสาธารณะที่คิดว่าดีกว่าการใช้อำนาจสั่งการ แต่คาดว่าในวันที่ 17 ก.ค.นี้ จะได้รายงานบางส่วนมาเผยแพร่สู่สาธารณชนหลังจากครบการทำงาน 1 ปี แต่การทำงานไม่สามารถจบได้ง่ายยังต้องสานต่อไป โดยที่ “ระยะเวลาการทำงานของ คอป. มีกำหนดเวลา 2 ปี”
ประธาน คอป. กล่าวด้วยว่า คณะกรรมการ คอป. มุ่งเน้นสร้างความสันติให้บ้านเมือง และสร้างความเข้าใจที่ตรงกันกับประเทศเพื่อนบ้าน สิ่งที่มุ่งเน้นที่สุดที่ผ่านมาและขณะนี้ คือ การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตามแนวทางยุติธรรม สร้างสรรค์สังคมและส่งเสริมความปรองดองในประเทศ ทั้งนี้ยืนยันว่าว่าการทำงานต่อไปของ คอป. จะมีความเป็นอิสระไม่ถูกแทรกแซง เพราะจะใช้หลักองค์ความรู้ ทางวิชาการ หลักนิติศาสตร์ สังคมศาสตร์และแพทยศาสตร์มาบูรณาการให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง
“ขณะนี้ยังไม่ได้พูดคุยกับทางพรรคเพื่อไทย และเห็นว่าไม่จำเป็น ต้องวางตนให้เหมาะสม มีช่องว่างในการสร้างความเป็นกลาง และความอิสระ อีกทั้งไม่คิดว่าทางพรรคเพื่อไทยจะตั้งคณะกรรมการมาทำงานร่วมกับ คอป. อย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ แนะทุกฝ่ายควรยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นหลักในการทำงาน”
ทั้งนี้ ภายในงานมีการนำเสนอผลสรุปการดำเนินงาน การเยียวยา ฟื้นฟูและป้องกันความรุนแรง ในช่วงที่ผ่านมา โดย ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ กรรมการ คอป. ติดตามเอกสารฉบับเต็มได้ที่
http://www.thaireform.in.th/2011-05-24-07-27-47/item/6099-2011-07-07-09-36-14.html
