“3 เหตุผล” ที่ "ศาล รธน." ควรพิจารณาคำขอ "เลือกตั้ง 2 ก.พ.โมฆะ"
เปิด "3 เหตุผล" ในหนังสือที่อาจารย์นิติศาสตร์ มธ.ยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่าเหตุใด "ศาล รธน." จึงรับคำร้องขอให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.เป็นโมฆะ ไว้พิจารณา

ในหนังสือที่ “กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การจัดการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 2 ก.พ.2557 ที่ผ่านมา ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และให้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่โดยเร็ว จำนวน 17 หน้ากระดาษ
ซึ่งนอกจากมีการอ้างถึงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพฤติการณ์ 5 ประการ
1.การเลือกตั้งทั่วไปมิได้กระทำขึ้นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
2.การดำเนินการรับสมัครเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป มิได้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม
3.การนับคะแนนเสียงเลือกตั้งในทุกเขตเลือกตั้งหลังสิ้นสุดระยะเวลาลงคะแนนในวันที่ 2 ก.พ.2557 ทำให้ผู้ที่จะมาเลือกตั้งหลังวันดังกล่าวทราบผลการเลือกตั้งก่อนการลงคะแนน
4.การให้นับคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.2557 ทำให้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าและการเลือกตั้งทั่วไปที่เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 20 และ 27 เม.ย.2557 เป็นอันไร้ผลเพราะบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะกลายเป็นบัตรเสียตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง
และ 5.กกต.ปล่อยปละละเลยให้มีการใช้อำนาจรัฐที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลและที่มีสมาชิกดำรงตำแหน่งอยู่ในคณะรัฐมนตรี จากกรณีประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ 4 จังหวัด
(อ่าน อาจารย์ มธ.ร้องผู้ตรวจการส่งศาล รธน.ฟันเลือกตั้ง 2 ก.พ.โมฆะ)
ยังมีการระบุถึง "เหตุผล 3 ข้อ" ที่สนับสนุนว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน สามารถส่งคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยในเรื่องนี้ได้ ดังนี้
*****
โดยผลแห่งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพฤติการณ์ที่ได้กราบเรียนมาทั้งห้าประการนี้ ผู้ร้องจึงใคร่ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาวินิจฉัยว่าการดำเนินการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 ก.พ.2557 ของ กกต.น่าจะเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อันมีผลทำให้กระบวนการจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้และที่จะได้ดำเนินการต่อไปเป็นอันสิ้นผลไป และเห็นควรร้องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาเสนอข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพฤติการณ์ต่างๆ ที่กราบเรียนข้างต้น ต่อศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญขององค์กรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญดังกรณีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทั้งนี้ โดยผู้ร้องได้ขอกราบเรียนประเด็นที่เป็นเหตุผลสนับสนุนประกอบการพิจารณาเพื่อส่งกรณีตามคำร้องนี้ อันเป็นเรื่องร้องเรียนว่าการดำเนินการคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดต่อไป รวมสามประการ ดังต่อไปนี้
เหตุผลประการที่หนึ่ง การเลือกตั้งทั่วไปเป็นกระบวนการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน เพราะเป็นกระบวนการเดียวที่ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้แสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ของตนในการเลือกผู้แทนราษฎรไปเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนตนและการเลือกตั้งทั่วไปที่เป็นที่มาของผู้แทนราษฎรนั้น นับเป็นรากฐานการก่อให้เกิดองค์กรและสถาบันทางการเมืองต่างๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องยึดโยงและอาศัยความชอบธรรมจากกระบวนการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไปของประชาชนทั้งสิ้น
โดยเหตุดังกล่าว ความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรมและความถูกต้องแท้จริงของการออกเสียงลงคะแนน ตลอดทั้งระบบการเลือกตั้งที่ให้โอกาสแก่ทุกๆ ฝ่ายอย่างเท่าเทียมกันจึงเป็นคุณค่าสูงสุดอันเป็นฐานที่มาของระบอบการปกครองของรัฐ และเป็นเหตุผลสำคัญที่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดจะได้ให้คุณค่า ความสำคัญและรับรองหลักการของการเลือกตั้งตามที่กล่าวมานี้ไว้อย่างแจ้งชัด และกำหนดให้มีคณะกรรมการการเลือกตั้งขึ้นเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเพื่อควบคุม ตรวจสอบ ดูแลและเป็นหลักประกันให้เกิดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม เสมอภาคและแสดงเจตนาทางการเมืองที่ถูกต้องแท้จริงของประชาชนทั้งหลาย
ดังนั้น การล่วงละเมิดหลักความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และความถูกต้องแท้จริงของการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง รวมตลอดไปถึงการล่วงละเมิดหลักการจัดการเลือกตั้งทั่วไปโดยลับและจัดให้มีขึ้นพร้อมกันในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ดังที่ได้บรรยายมาข้างต้นว่าได้เกิดพฤติกรรมที่ปรากฏเหตุความไม่ชอบดังกล่าวนี้ขึ้นแล้ว จึงไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดหลักการสำคัญพื้นฐานของการเลือกตั้ง ตามที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยโดยมีผู้แทน และทำลายหลักการพื้นฐานสำคัญของระบบสถาบันการเมืองที่ยึดโยงหรืออ้างความชอบธรรมจากการได้รับความเห็นชอบหรือยึดโยงกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยตรงลงทั้งหมดอีกด้วย โดยนัยดังกล่าว การดำเนินการจัดการเลือกตั้งของ กกต.ที่เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยหลักการและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเช่นนี้จึงเป็นกรณีที่มีความเร่งด่วน ร้ายแรง และพึงจะต้องให้ความสำคัญสูงสุดที่จะต้องดำเนินการให้มีการตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยองค์กรตรวจสอบที่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งในที่นี้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญโดยเร่งด่วนที่สุด ก่อนที่ความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญดังกล่าวของการเลือกตั้งทั่วไป จะก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายที่ลุกลามไปยังสถาบันการเมืองและระบบองค์กรต่าง ๆ ของรัฐในลำดับต่อไป
เหตุผลประการที่สอง การจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในกรณีของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ ได้ดำเนินการโดยการตรา พระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) ยุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปขึ้น โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญโดยตรง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 108 กฎหมายดังกล่าวแม้ว่าจะมีการกำหนดรูปแบบให้มีลักษณะเป็น พรฎ. แต่ก็เป็น พรฎ.ที่ตราขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หาใช่ พรฎ.ที่ตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจของ พ.ร.บ.ฉบับใดฉบับหนึ่งแต่อย่างใด และ พรฎ.ที่ตราขึ้นตามความในรัฐธรรมนูญนั้น ย่อมไม่อาจมีเนื้อหาขัดต่อบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ใดๆ ได้ และหากจะต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของ พรฎ.ในกรณีเช่นนี้ ก็จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเท่านั้น
สำหรับกรณีของการจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายหลังจากที่ได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร พรฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปขึ้น มีลักษณะเป็นกฎหมายพิเศษและมีลักษณะทางเทคนิคที่มิได้กำหนดสาระสำคัญอื่นใด นอกจากการกำหนดให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ และกำหนดผู้รับผิดชอบตามกฎหมายไว้ เท่านั้น โดยมิได้มีการกำหนดสาระสำคัญเกี่ยวกับวิธีการรับสมัคร การสมัครรับเลือกตั้ง การหาเสียงลงคะแนน การนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง ฯลฯ ไว้แต่อย่างใด หากแต่ให้เป็นอำนาจของ กกต.เป็นผู้ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งเหล่านี้ได้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ ดังนั้น กรณีจึงเห็นได้อยู่ในตัวว่า หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่พึงจะต้องกำหนดไว้ใน พรฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปนั้น ได้มีการบัญญัติมอบหมายให้ กกต.เป็นผู้วางหลักเกณฑ์และออกประกาศกำหนด และเมื่อปรากฏว่าการดำเนินการออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์หรือดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งของ กกต.เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อำนาจในการตรวจสอบการดำเนินการต่างๆ ของ กกต.ที่ถูกกล่าวหา จึงจะต้องตรวจสอบยันกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งเท่านั้น หาอาจนำไปพิจารณาตรวจสอบหรือเปรียบเทียบความถูกต้องเที่ยงธรรมกับ พ.ร.บ.ฉบับใดฉบับหนึ่งได้ไม่
การที่จะต้องตรวจสอบทั้งตัวร่าง พรฎ.ที่ตราขึ้นเพื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปนั้น และทั้งการตรวจสอบความถูกต้อง เที่ยงธรรมและชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการออกประกาศและการกำหนดการดำเนินการต่างๆ ของ กกต.ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปจึงต้องเป็นการตรวจสอบเปรียบเทียบกับ หลักการและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หาใช่ตรวจสอบโดยเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์หรือบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ฉบับใดฉบับหนึ่ง ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่จะต้องเสนอพฤติการณ์และการกระทำดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
เหตุผลประการที่สาม เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานะของ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและย่อมอยู่ในสถานะที่สูงกว่าองค์กรทางปกครองทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ กกต. ได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป และดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปทั้งหลายทั้งปวง การดำเนินการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นไปเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยชี้ขาดรับรองผลการเลือกตั้ง หรือวินิจฉัยชี้ขาดว่ามีการเลือกตั้งโดยไม่สุจริต ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ โดยจะให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือโดยการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครก็ได้ การวินิจฉัยชี้ขาดในทางใดทางหนึ่ง อันเป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายของกระบวนการจัดการเลือกตั้งของ กกต.เช่นนี้ เป็นกระบวนการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญซึ่งไม่อยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบขององค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นใด เว้นแต่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีอำนาจพิทักษ์ปกป้อง รัฐธรรมนูญและวินิจฉัยชี้ขาดความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายเท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีกรณีปรากฏหลักฐานโดยน่าเชื่อว่า กกต.ได้ใช้อำนาจตาม พรฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปนั้น ออกประกาศและดำเนินการต่างๆ เพื่อจัดการเลือกตั้งไปโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงมีเพียงองค์กรศาลรัฐธรรมนูญเพียงองค์กรเดียวที่จะเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดความชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการดำเนินการดังกล่าวของ กกต.ได้ ดังกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยได้ใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าการเลือกตั้งทั่วไปที่ดำเนินการโดย กกต. เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาแล้วก่อนหน้านี้ในคำวินิจฉัยชี้ขาดที่ 9/2549
การวินิจฉัยว่าศาลอื่นๆ หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นไม่มีอำนาจควบคุมตรวจสอบการดำเนินการ ตลอดจนการวินิจฉัยชี้ขาด ในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งหรือในการวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่สุจริต เป็นการดำเนินการของ กกต. ได้เคยปรากฏมาแล้วในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 52/2546 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลปกครองไม่มีอำนาจในการตรวจสอบทบทวนการใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าการเลือกตั้งทั่วไปเป็นไปโดยไม่สุจริตโดยให้มีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัคร ซึ่งได้กระทำไปโดย กกต. เพราะการใช้อำนาจหน้าที่ดังกล่าวของคณะกรรมการการเลือกตั้งถือเป็นยุติ มิใช่เป็นการใช้อำนาจทางบริหารหรือทางปกครองแต่อย่างใด
นอกจากนั้น บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่บัญญัติถึงอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองไว้ ยังได้กำหนดยกเว้นเอาไว้อย่างชัดเจนในมาตรา 223 วรรคสอง ว่าอำนาจของศาลปกครองที่กำหนดไว้ในวรรคแรกไม่รวมถึงการวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้นซึ่งย่อมมีความหมายว่า การดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยหลักการ เจตนารมณ์ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของ กกต. อันเป็นไปเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยชี้ขาดโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในการประกาศรับรองผล หรือประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ย่อมไม่อยู่ในขอบข่ายที่ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดได้ หากแต่จะต้องเป็นกรณีที่เฉพาะแต่ศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นที่จะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ดังเช่นที่ได้เคยปรากฏแนวทางการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว ในคำวินิจฉัยที่ 9/2549 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ว่าการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ไม่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึงเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
อาศัยเหตุแห่งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพฤติการณ์ที่ปรากฏจากการออกประกาศและการดำเนินการต่าง ๆ ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง อันมีผลทำให้การเลือกตั้งทั่วไปที่ได้จัดให้มีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นการจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่มิได้ดำเนินการเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร เป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม ขัดกับหลักความเสมอภาค และไม่เป็นไปโดยการให้โอกาสที่ทัดเทียมกันของผู้สมัครและพรรคการเมือง และทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในระหว่างผู้สมัครและพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องซึ่งเป็นประชาชนชาวไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เห็นว่าการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 ก.พ.2557 ของ กกต. ส่งผลก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้ร้องในการเสียสิทธิในทางการเมืองอันพึงมีพึงได้ และได้รับความเสียหายจากการมีผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ไม่ได้เป็นตัวแทนที่แท้จริงของผู้ร้องและของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหลาย ผู้ร้องจึงขอใช้สิทธิร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้พิจารณาตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 244 (1) (ค) และขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาส่งเรื่องการดำเนินการและการออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ ตลอดถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญของ กกต.ที่ได้ระบุไว้ในคำร้องนี้ ซึ่งเป็นการดำเนินการตาม พรฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2556 อันเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 108 ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามอำนาจหน้าที่ในมาตรา 245 เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และให้มีการดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปขึ้นใหม่ต่อไป
*****
