แนวคิด think tank กปปส. เชื่อเกมยืดเยื้อ หนุน “มะม่วงหล่น” ใส่ ”คนกลาง”
"กองทัพถึงจุดหนึ่งถ้าบ้านเมืองไม่มั่นคง ก็เป็นหน้าที่ของกองทัพต้องออกมาแก้ปัญหา ไม่ใช่มาท่องคาถาคำเดียวว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง มันไม่ได้ มันทิ้งบ้านเมืองไม่ได้" ---พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ อดีตเสนาธิการทหารเรือ 1 ในคณะรัฐบุคคล

การเคลื่อนไหวชุมนุมของมวลชน “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)” ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเดือนที่ 4 แล้ว
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทย (พท.) ก็ปักหลักสู้การเมืองโดยไม่มีท่าทีล่าถอยให้ แม้จะทิ้งไพ่หลายใบมาเพื่อหวังปิดฉากแนวรบยืดเยื้อ แต่ก็ไม่สำเร็จ
แม้กระทั่งข้อเสนอล่าสุดที่คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่าง “นพดล ปัทมะ” จะออกมาระบุว่ารัฐบาล พท.พร้อมเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งการเมือง โดยเร็ว แต่ก็ถูกปฏิเสธจากแกนนำ กปปส.และฝ่ายตรงข้าม เช่นเดียวกับที่ฝ่ายรัฐบาล พท.ก็ปัดโดยไม่ต้องคิดกับข้อเสนอของบางฝ่าย ที่ให้นายกฯยิ่งลักษณ์ลาออกเพื่อเปิดทางไปสู่การมี ”นายกฯคนกลาง”
กับ สถานการณ์ ณ เวลานี้ ทางออกของวิกฤตการเมืองครั้งนี้ มีการวิเคราะห์จากผู้เคลื่อนไหวการเมืองในช่วงนี้ 3 ปีก ที่มองการชุมนุมของ กปปส.และการดิ้นสู้ของรัฐบาล พท. ที่น่าจะพอทำให้เห็นได้ว่า ฝ่ายไหนคิดอะไร ได้มากพอสมควร
เริ่มจาก ”นพ.พลเดช ปิ่นประทีป” แกนนำและผู้ประสานงาน คณะทำงานเครือข่ายผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศโดยสันติของประชาชนไทย ที่เป็นการรวมกลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิและประชาชนหลายภาคส่วน ทั้งนี้ นพ.พลเดชยังเป็น อดีต รมช.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์–อดีตนักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม ซึ่งมองสถานการณ์เวลานี้ไว้ว่า ทางจบของปัญหาคงมีด้วยกัน 3 ทางคือ
1 .ก็มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่คิดว่าไม่จบ เพราะทาง กปปส.เองก็คงไม่ยอม และการปฏิรูปคงเกิดไม่ได้ในสถานการณ์แบบนั้น เพราะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็คงจะลืมประเด็นเรื่องการปฏิรูปอย่างแท้จริงไปแล้วก็ทำแบบผิวเผินซึ่งคิดว่าทางออกนี้ประชาชนโดยเฉพาะ กปปส.คงไม่รับ
2.ทางออกแบบที่ กปปส.ต้องการคือให้มีการเปลี่ยนแปลงโดยที่เกิดสุญญากาศแล้วก็มีรัฐบาลรักษาการประมาณ 18 เดือน แล้วมีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร สัก 18 เดือน เสร็จแล้วก็มีการแก้ไขกติกาทั้งหลาย แล้วก็ปฏิรูปบางเรื่องที่จำเป็นเฉพาะแล้วก็รีบกลับเข้าสู่การเมืองในระบบปกติ มีการเลือกตั้ง
3.คือการรัฐประหารโดยที่ทหารออกมาจากเหตุต่างๆ เช่นเกิดเหตุน้ำผึ้งหยดเดียว อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครให้เกิด
“ถามใจผม ผมสนับสนุนแนวทางที่สองที่ กปปส.เสนอ ไม่อยากเห็นการรัฐประหารยึดอำนาจ ไม่อยากเห็นการฉีกรัฐธรรมนูญ ผมก็ไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งโดยระบบนี้โดยตามปกติมันจะทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง คือการปฏิรูปที่แท้จริง“
นพ.พลเดช กล่าวต่อว่า ดูแล้ว การเคลื่อนไหวต่อจากนี้คงยืดเยื้อไปสักระยะ เหมือนกับรอมะม่วงให้หล่น แต่เมื่อประชาชน และ กปปส.ยืนยันว่าจะรอให้มะม่วงมันสุกงอมด้วยตัวของมันเอง แล้วหลุดออกจากขั้ว ตามที่นายธีรยุทธ บุญมีให้ข้อคิดเห็นไว้ โดย กปปส.จะไม่เร่งร้อนไม่ทำให้เกิดความรุนแรง หรือไปเชื้อเชิญทหารออกมายึดอำนาจแต่ กปปส.เองก็รู้ว่าภาคประชาชนเองก็ไม่มีอำนาจจะไปตัดสิน อำนาจที่จะไปตัดสินก็อยู่ที่เช่นตุลาการภิวัฒน์ ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลอาญา ที่จะตัดสินว่ารัฐบาลนี้หลุด ไม่สามารถที่จะรักษาการได้ กลายเป็นสุญญากาศ หรืออีกแบบหนึ่งคือ ป.ป.ช.ที่เป็นองค์กรแบบกึ่งศาล ที่มีอำนาจใช้ดุลยพินิจในการทำคดีที่เกี่ยวข้องแล้วก็ทำให้ฝ่ายรัฐบาลเอง หยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ อย่างไรก็ตามจะขาดหรือไม่ขาด ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าขณะนี้มีคดีอะไรบ้าง
“ทาง กปปส.เองก็อยากจบ แต่ยังไม่สามารถจบได้ เขาก็ต้องพยายามอึดให้มากที่สุดโดยที่ไม่ไปเชื้อเชิญใครออกมายึดอำนาจ มันก็เลยทำให้ยืดเยื้อ ผมดูจากปฏิทินของทางด้านตุลาการ ทางด้านศาล หรือองค์กรอย่าง ป.ป.ช. ผมว่ามันน่าจะถึงกลางๆ เดือนเมษายน ที่ก็บอกไม่ได้จริงๆว่า ระหว่างนี้จนไปถึงเมษายนจะมีเหตุอะไรขึ้นมา มันเหมือนมีลมกระโชกแล้วจะทำให้มะม่วงหล่นเร็วขึ้น”
.. แต่ช่วงระหว่างนี้ก็จะเกิดเหตุการณ์บีบคั้นเป็นรายวันขึ้นมาอย่างที่เกิด เหตุยิงเอ็ม 79 ใส่ตึกศาลอาญาหรือกรณีคนร้ายยิงปืนใส่บ้านพักนายประมนต์ สุธีวงศ์ มันอาจจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงปัญหาชาวนา
เมื่อถามว่ายังเชื่อว่าฝาย กปปส.โอกาสจะชนะดูแล้วมีมากกว่าฝ่ายรัฐบาล-เพื่อไทย “นพ,พลเดช” วิเคราะห์อย่างมั่นใจว่า อย่างน้อยฝั่งมวลมหาประชาชนและ กปปส.คงไม่แพ้แล้ว มาถึงขนาดนี้ดูจากความอึดอัด แววตาประชาชนที่มาร่วมและปฏิกิริยาที่แกนนำ กปปส.เดินไปพบประชาชนแล้วมีคนบริจาคเงินให้ และฟังจากความคิดเห็นคนกลุ่มต่างๆ อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีการจัดเวทีฟังพวกอดีตข้าราชการประจำที่เคยขึ้นเวที กปปส.จัดที่โรงแรมเอเซีย เขาก็เชื่อว่าการปฏิวัติประชาชนโดยสันติ มันไม่เคยเกิดขึ้นในโลกแต่เขามั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้นในประเทศไทยได้ เชื่อว่ายังไงเสียมะม่วงต้องหล่นแน่ มะม่วงมันงอมขนาดนี้มันไม่มีทางกลับไปเป็นมะม่วงดิบได้แน่ ธรรมชาติมันมาทางนี้
..ดังนั้นแม้จะยืดเยื้อออกไปอีกเดือนสองเดือน แต่เขาก็ยังมั่นใจกันอยู่โดยดูจากกระแส อารมณ์ ความรู้สึกของคน แล้วดูจากการพูดคุยกับผู้คน เช่นกลุ่มนักแสดง ดารา เขาก็บอกเขาไม่ยอมแพ้แน่นอน ดูจากอารมณ์ของคนทุกชั้นทุกวงการ คนออกมาได้ขนาดนี้มันไม่ธรรมดา ถ้าถามว่าแพ้ไหม ผมคิดว่าประชาชน และ กปปส.ไม่แพ้คือชนะแน่ แต่จะชนะในระดับไหน อย่างไร การที่จะชนะโดยการปฏิวัติของประชาชนโดยสันติโดยที่ไม่มีการยึดอำนาจแบบเบ็ด เสร็จเด็ดขาด
นพ.พลเดช เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจถึงแนวคิดเรื่องการตั้งรัฐบาลรักษาการ ที่อ้างอิงชื่อ”แก้วสรร อติโพธิ”มือกฎหมายคนสำคัญของฝ่ายกปปส.
“ในความเข้าใจผมคือจะไม่มีการยึดอำนาจไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ อำนาจที่ประชาชนได้ไปก็เกิดขึ้นจากสุญญากาศ คือรัฐบาลออกไปด้วยเหตุใดก็ตามแล้วสุญญากาศไม่มีรัฐบาลรักษาการ ตรงนี้ประชาชนก็สามารถใช้เงื่อนไข ใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ได้ เท่าที่ผมได้ฟังรายละเอียดจากทีมของอาจารย์แก้วสรร อติโพธิที่คิดรายละเอียดของเรื่องนี้ และพยายามออกแบบเรื่องนี้
ผมคิดว่าก็มีเหตุมีผลของเขาอยู่ แล้วก็มีช่องทางที่จะทำให้เมื่อเกิดสุญญากาศเมื่อไหร่ก็มีช่องทางที่จะตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ได้ โดยเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญบางมาตรา โดยมาตรา 3 ที่อำนาจเป็นของปวงชนแล้วพระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงใช้อำนาจนั้นโดยผ่านอำนาจ 3 ฝ่ายคืออำนาจฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ แล้วมีการทูลเกล้าฯโดยประชาชนมหาชนก็ใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 68, 69 และ 70 พิทักษ์รัฐธรรมนูญ แล้วก็ทรงทูลเกล้าฯเพื่อให้ทรงใช้มาตรา 3 ไม่ใช่มาตรา 7 แต่เป็นมาตรา 3 ในลักษณะที่จะเป็น การเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ โดยไม่ได้เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญแต่เพิ่มเติมบทเฉพาะกาล มาประมาณสัก 3 มาตรา ที่เขามีการออกแบบวางแผนกันเอาไว้
ตอนนี้เขามีการออกแบบราย ละเอียดเอาไว้แล้ว ตรงนี้ก็จะทำให้เกิดตัวรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นมาได้ แล้วตัวสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ เขาออกแบบมาแบบนี้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริง ก็จะเหมือนกับไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญเลย แต่ใช้กติกาตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง
อันนี้คือการปฏิวัติโดยสันติของประชาชนโดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญจะเป็นแบบนี้ แต่กรณีนี้จะเกิดขึ้นต้องเกิดสุญญากาศขึ้นมาก่อน ที่จะต้องเกิดจากกรณีคือตัวนายกฯลาออก ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่นยอมจำนนด้วยปัญหาของชาวนา ที่ดูแล้วยากทีเดียวสำหรับรัฐบาลที่มีข้อจำกัดจากการเป็นรัฐบาลรักษาการ แล้วการเลือกตั้งก็ต้องซ่อมไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ขีดความสามารถในการแก้ไขปัญหามีข้อจำกัด
หากเกิดสุญญากาศ ก็ต้องไปทางการใช้พระราชอำนาจตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในลักษณะชั่วคราว ปัญหาของประเทศเวลานี้อย่างการแก้ไขปัญหาชาวนามันต้องใช้รัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม”
นพ.พลเดช กล่าวอีกว่า กับอีกแบบหนึ่งคือการยึดปฏิวัติยึดอำนาจที่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญที่มีทหารมา เป็นคนฉีกด้วยเหตุใดก็ตาม แบบนี้ก็จะเป็นแบบที่ไม่ต้องคิดหรือมาเถียงอะไรกันมาก ก็จะเป็นแบบปี 49 แต่มันก็จะต้องไม่ไปซ้ำรอยความผิดพลาดหรือไม่ประสบความสำเร็จในปี 49 ที่มีรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ มีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ก็ไม่สามารถจัดการปัญหาอะไรต่างๆ ได้ ผมดูแล้วทั้งสองแบบถ้าเกิดขึ้นจริง แล้วทำให้มีรัฐบาลรักษาการขึ้นมาจริง บทเรียนจากครั้งก่อนน่าจะทำให้การทำงานได้ผลมากกว่าเดิม
เมื่อถามว่า สถานการณ์เวลานี้ การที่จะให้มีนายกฯคนกลาง จะเหมาะสมกับสถานการณ์แค่ไหน เพราะก็มีการท้วงว่าไม่เป็นประชาธิปไตย? “อดีต รมช.พัฒนาสังคมฯในรัฐบาลขิงแก่” ตอบกลับว่า ถ้าท่องคาถามว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ผมไม่เถียงด้วยเพราะว่ามองตรรกะไม่เหมือนกัน ถ้าเขามองด้วยตรรกะว่าประชาธิปไตยต้องเลือกตั้งเท่านั้น ผมคงไม่ไปเถียงเอาชนะอะไรด้วย
“สำหรับผมจิตวิญญาณผมก็ ประชาธิปไตยเต็มที่ เป็นประชาธิปไตยที่ปฏิบัติได้เป็นประชาธิปไตยสำหรับนักปฏิบัติ ไม่ใช่นักทฤษฏี พวกผมเองโดยสายวิชาชีพที่เป็นแพทย์ สถาปนิก วิศวะ ที่เป็นนักปฏิบัติทั้งหลาย ทฤษฎีนั้นเราให้ความสำคัญแต่ที่สำคัญมากกว่า คือการเอาทฤษฏีมาสู่การปฏิบัติแล้วแก้ปัญหาประชาชนและปัญหาประเทศได้ ที่ถามว่าที่บอกไปแล้วเป็นประชาธิปไตยไหม ในมุมผมเป็นประชาธิปไตย สิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นประชาธิปไตยสมเหตุสมผล แล้วยืนอยู่บนปัญหาที่เป็นจริง แล้วก็สามารถแก้ปัญหาที่เป็นจริงของประเทศและประชาชนได้”
ฟาก ”ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์” อดีตอธิการบดีนิด้าและคีย์แมนสายนักวิชาการของ กปปส. ก็บอกเช่นกันว่าเวลานี้เรื่องการเจรจากับฝ่ายรัฐบาลทางสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ก็ย้ำแล้วว่าไม่ทำ เป็นส่งที่เป็นไปไม่ได้
ส่วน การเคลื่อนไหวของ กปปส.ที่จะต้องยืดเยื้อต่อไปแต่ฝ่าย “ศ.ดร.สมบัติ”ก็บอกว่าระหว่างนี้ ก็จะมีปัญหาเรื่องการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลแทรกเข้ามาด้วยที่จะมีผล กระทบต่อรัฐบาลสูง
.. ขณะนี้มวลมหาประชาชนเข้าใจสถานการณ์ได้ดี การต่อสู้ด้วยความสงบ สันติ อหิงสาเป็นแนวทางที่ดี แต่ว่าจะได้ใช้ได้ดีกับรัฐบาลที่เป็นวิญญูชน แต่รัฐบาลที่เป็นทรราชก็จะได้ผลช้า ก็ต้องมีความอดทน อย่างไรก็ตาม ปัญหาของรัฐบาลไม่ได้มีแค่การต่อต้านจากมวลมหาประชาชนเท่านั้นแต่รัฐบาลได้ ก่อให้เกิดปัญหากับตัวเองจากการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ และบกพร่อง เช่นโครงการรับจำนำข้าวจะเป็นปัญหาเฉพาะหน้ากดดันรัฐบาลหากรัฐบาลไม่สามารถ แก้ไขให้ลุล่วงไปได้ และจะมีผลกระทบต่อรัฐบาลสูงหรือปัญหาโครงการรถยนต์คันแรกที่ผู้จองรถยนต์คัน แรกทิ้งรถที่จองเอาไว้นับแสนคัน สิ่งเหล่านี้กำลังประดังเข้ามา
เมื่อถามว่าดูแล้ว กปปส.จะชุมนุมไปอีกนานแค่ไหน ”นักวิชาการปีก กปปส.” บอกว่า คำถามนี้คงไม่มีใคร ตอบได้ ว่ามันจะยืดเยื้อไปแค่ไหนอย่างไร แต่ก็จะมีเงื่อนไขต่อไปนี้ที่อาจมีผลต่อการชุมนุม
“ก็มี 1 ปัจจัยแทรกซ้อนอย่างเช่นปัญหาของชาวนาถ้ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ ก็จะเป็นปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลมาก
2.ความคืบหน้าของคดีต่างๆในศาลรัฐธรรมนูญหรือแม้แต่การจัดเลือกตั้ง ที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลยังไม่เรียบร้อยก็จะเป็นปัญหาต่อรัฐบาลมากถ้าหาก ว่า รัฐบาลยังคงเป็นรัฐบาลรักษาการไปเรื่อยๆ ก็จะมีข้อติดขัดมากมายในการบริหารประเทศ
3.การสอบสวนของ ป.ป.ช.เพราะถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อออกไป แล้ว ป.ป.ช.มีการชี้มูลอะไรออกมาก็จะมีผลกระทบต่อรัฐบาล"
ถามว่า ข้อเสนอให้มีนายกฯคนกลาง ใช้รธน.มาตรา 7 ฝ่าย พท.ไม่ตอบรับ แนวทางนี้ยังเป็นไปได้ไหม ถ้ามีจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายจริงหรือไม่? “ศ.ดร.สมบัติ” กล่าวว่า เรื่องนายกฯคนกลาง ทางกปปส.ไม่ได้เรียกร้องนายกฯคนกลาง แต่เรียกนายกฯที่เป็นคนดี ที่มีประวัติเป็นที่ยอมรับของประชาชน ตอนนี้จะไปพูดเรื่องคนกลาง มันหาคนกลางไม่ได้แล้วทั้งประเทศมันคงหายากที่จะหาคนกลางที่คนทุกฝ่ายยอมรับ
“แนวทางกปปส.ก็คือให้มีนายกฯที่มาจากมาตรา 3 และมาตรา 7 ที่มาตรา 7 ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีพระราชทาน แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามประเพณีระบอบประชาธิปไตยเมื่อ ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบัญญัติไว้ ถ้านายกฯยิ่งลักษณ์ลาออกจากนายกฯรักษาการ ประธานวุฒิสภา(รักษาการประธานรัฐสภา)ก็สามารถเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ ไม่ใช้นายกรัฐมนตรีพระราชทาน มีการใช้คำผิดกันมาหลายคน“
ปิดท้ายด้วย ท่าทีของฝ่าย “คณะรัฐบุคคล” ที่เรียกตัวเองว่าเป็นพวกซีก Non-Partisan Politics หรือกลุ่มทำงานเพื่อรัฐ ซึ่งเคยสร้างความสนใจไม่น้อยกับคลิปการสนทนาทางออกของวิกฤตการเมือง ที่มีแนวทางเรียกร้องให้ศาลยุติธรรมกับทหารออกมาแสดงจุดยืนต่อปัญหาการเมือง เวลานี้
โดยหนึ่งในกลุ่มคณะรัฐบุคคลคือ ”พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์” อดีตเสนาธิการทหารเรือ บอกว่า ตอนนี้เครือข่ายคณะรัฐบุคคลก็มีการหารือพูดคุยกันถึงสถานการณ์เวลานี้กัน อยู่ และเป็นห่วงที่กำลังมีการลากยาวกันตอนนี้ เพราะเวลานี้เหมือนกับเด็กเกเร เด็กหัวดื้อ มันไม่รู้เหตุรู้ผลกันแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เมื่อถามว่าหมายถึงใครรัฐบาลใช่ไหม ”แกนนำกลุ่มรัฐบุคคล” บอกว่า ก็น่าจะเป็นแบบนั้น เขาไม่มีเหตุผล ผมไม่ได้เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แล้ว กปปส.ทางออกเป็นยังไง ทำได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่รัฐบาลเองก็เหมือนเด็กเกเรทำอะไรเหมือนเด็กเล่น ทำเหมือนแก็งค์เด็กวัด ก็ทำให้บ้านเมืองมันเสียหายวิกฤต เวลานี้ทั้งสองฝ่ายรู้กลเกมกันดี ถ้าเผื่อฝ่ายใดแข็งเขาก็ถอย มาแรงเขาก็ถอย
“ก็ยื้อกันไปเรื่อยๆ ที่นียื้อไปแบบนี้มันเกิดความเสียหายกับบ้านเมืองต้องแก้ให้มันยุติให้ได้ รัฐบาลจะอยู่ไปทำไมเราก็ยังไม่เข้าใจ ทำอะไรก็ไม่ได้ บริหารงานอะไรก็ไม่ได้ อยู่ไปปัญหาชาวนาแก้ไม่ได้ ยิ่งเกิดวิกฤตในบ้านเมืองมากขึ้น แล้วก็จะถึงเลือดถึงเนื้ออีก ความแตกแยกในบ้านเมืองนี้มันจะเกิดหนักขึ้น”
พล.ร.อ.สุรวุฒิ ย้ำว่ายังยืนแนวคิดวาเวลานี้ตุลาการต้องออกมาแก้ปัญหาร่วมกับกองทัพ แต่ไม่ใช่การปฏิวัติแต่ต้องหานักกฎหมายมาหาทางออกให้ได้แล้วแก้ปัญหา สถานการณ์เวลานี้ออกได้หลายทางเช่นให้ทหารออกมาแสดงจุดยืนแบบที่มีข้าราชการ บางกระทรวงออกมาบอกว่า รัฐบาลควรลาออกไปเสีย เพื่อความมั่นคง ความสงบของบ้านเมือง ก็ทำได้แล้วก็ปล่อยกปปส.เขา แต่ก็ห่วงว่าแล้วกปปส.จะทำยังไง เมื่อไม่ใช่หน่วยที่ถูกต้องตามกฎหมาย หากไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือก็ทำอะไรไม่ได้
อย่างไรก็ตาม พล.ร.อ.สุรวุฒิ บอกว่าถึงเวลานี้นายกฯแห่งชาติ รัฐบาลแห่งชาติเป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐบาลแห่งชาติคือการเกี้ยะเซี้ยะกันของพรรคการเมืองทุกพรรคที่แก้ ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ รัฐบาลแห่งชาติที่มีการเสนอตอนนี้ ฝ่ายทักษิณ ชินวัตรอาจเห็นว่าถือไพ่รอง ก็เลยหาทางออกด้วยการเจรจาตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
“ก็คงต้องเป็นรัฐบาลคนกลางจากผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นรัฐบาลกลางที่ไม่ใช่รัฐบาลแห่งชาติ ก็อยู่ที่จะทำยังไงให้รัฐบาลลงมาจากอำนาจ แล้วโมเดลมันจะเกิดเอง แต่ผมว่ามันทำยาก เพราะอำนาจสามอำนาจที่เหลือก็มีตุลาการ เหลืออยู่อำนาจเดียวแล้วเขาก็ทำไม่ได้ เพราะลักษณะของตุลาการต้องมีต้นทางคิดและชงขึ้นไป คนชงก็ต้องเป็นกองทัพ
กองทัพถึงจุดหนึ่งถ้าบ้านเมืองไม่มั่นคง ก็เป็นหน้าที่ของกองทัพต้องออกมาแก้ปัญหา ไม่ใช่มาท่องคาถาคำเดียวว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง มันไม่ได้ มันทิ้งบ้านเมืองไม่ได้“
พล.ร.อ.สุรวุฒิ ประเมินสถานการณ์ช่วงต่อจากนี้ว่าถ้ารัฐบาลจะหยุดหรือวางมือจากอำนาจ หมายถึงว่ารัฐบาลต้องเข้าตาจน ที่มี 2 กรณีคือ 1.ชาวนาทนไม่ไหวแล้วมีการชุมนุม เดินขบวนเรียกร้องใหญ่จนเกิดความวุ่นวาย แล้วชาวนาเคยเป็นผู้สนับสนุนเสื้อแดงมาก่อน เห็นเสื้อแดงทำยังไง เห็นเผาบ้านเผาเมืองยังไง เขาอาจทำอย่างนั้น ก็อาจเป็นจุดที่ทำให้รัฐบาลเอาไม่อยู่แล้วก็ต้องไป เมื่อรัฐบาลเอาไม่อยู่ หรือเสียหายจนยับเยิน กองทัพก็นิ่งไม่ได้
2.อยู่ที่แผลคอรัปชั่นที่ชัดเจนของรัฐบาล ที่หากถุกเปิดออกมาโดยรัฐบาลตอบไม่ได้ คือจนมุมต่อหลักฐานเช่นกรณีของรับจำนำข้าว มันพิรุธชัดๆ หากเปิดออกมาแล้วเห็นชัดเจน รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ ถ้ารัฐบาลอยู่ไม่ได้ กระบวนการที่จะจัดตั้งสภาปฏิรูปก็เกิดขึ้น
“ขั้นแรกต้องตั้งรัฐบาลก่อน แล้วตามด้วยสภาปฏิรูป แต่ต้องมีรัฐถาธิปัตย์อยู่ในมือ นื่คือสถานการณ์ที่ดูแล้วไม่มีอะไรทำให้รัฐบาลพ้นจากอำนาจได้ นอกจากเหตุที่ผมว่า แล้วบอกได้เลยว่า จุดตายรัฐบาลคือเรื่องข้าว ไม่ใช่ กปปส. “
ภาพประกอบ - จากซ้ายไปขวา นพ.พลเดช ปิ่นประที ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์
