มุมคิด “นพ.ประเวศ-โฆสิต” ต่อแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11
ช่วงเวลาที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งจากภายในและนอกประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งซับซ้อน ผันผวน คาดเดาได้ยาก
ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (สศช.) กำลังจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (2555-2559) จนถึงวันนี้สภาพัฒน์ได้ประมวลออกมาเป็น (ร่าง) แผนฯ 11 เสร็จเรียบร้อยแล้ว บนวิสัยทัศน์ “สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งหลังจากนี้จะมีการปรับปรุงร่างอีกครั้ง เพื่อนำเสนอต่อสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และต่อคณะรัฐมนตรี ให้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการได้ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2554
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย เก็บตกมุมมอง 1 นักคิด 1 นักเศรษฐศาสตร์ ที่ มีต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศใน 5 ปีข้างหน้า จากเวทีประชุมวิชาการประจำปี 2554 แผนฯ 11 สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ ...
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป
"การพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องมีดุลยภาพ คีย์ของความยั่งยืน คือดุลยภาพ
คีย์ของดุลยภาพอยู่ที่การพัฒนาอย่างบูรณาการ"
"แผนฯ 11 ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นการสะสม เป็นวิวัฒนาการของความคิด จากแผนฯ 1-11 เริ่มต้นเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ต่อมาได้เพิ่มเติมไปในเรื่องสังคม ต่อมาสิ่งแวดล้อม ต่อมาพัฒนาอย่างยั่งยืน จนแผนฯ 8 พัฒนาที่คน และพื้นที่เป็นตัวตั้ง ต่อมาได้พูดถึงความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันของสังคมไทย แผนฯ 11 บอก สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ข้อสรุปทั้งหมด คือ วิวัฒนาการ จาก 1- 11 จะเห็นชัดเจนว่า เป็นเรื่องการสร้างสังคมอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน เป็นทิศทางใหม่ สำคัญอย่างยิ่ง เพราะการเผชิญวิกฤตของโลกปัจจุบัน
ถามว่า คือวิกฤตการณ์อะไร ก็คือวิกฤติการณ์การอยู่ร่วมกัน ระหว่างคนกับคน ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ทั้งโลกร้อน ภัยพิบัติ
อยากให้ข้อสังเกตแผนที่พัฒนามาเรื่อยจาก 1-11 เป็นทิศทางใหม่แล้ว เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน คนกับคน และคนกับสิ่งแวดล้อม แต่คนทั่วโลกยังคิดแบบเก่าๆ รวมทั้งคนไทยด้วย ซึ่งถึงแม้สภาพัฒน์ฯ จะชูตรงนี้ว่า เป็นทิศทางใหม่ประเทศไทย เราต้องคิดถึงการอยู่ร่วมกัน คนก็ยังคิดแบบแยกส่วนกันอยู่
สิ่งจำเป็นที่สุดของการขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป ผมคิดว่า สภาพัฒน์ ต้องทำยุทธศาสตร์การศึกษาให้เข้าใจ สภาพัฒน์อาจปลุกระดมไม่เก่ง พูดไปเรื่อยๆ ต้องทำยุทธศาสตร์การสื่อสารอย่างทั่วถึง นำภาคธุรกิจมาร่วมด้วยให้เกิดเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วม
สำหรับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนให้เป็นจริง ไม่ใช่อยู่ในแผน เพราะแผนที่แล้วเป็นแค่แผนของราชการเพื่อนำไปตั้งงบประมาณ จุดสำคัญของแผนฯ 11 คือ ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน
การพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องมีดุลยภาพ เรือวิ่งไปไม่ได้ดุลก็จมง่าย คีย์ของความยั่งยืน คือดุลยภาพ แล้วคีย์ของดุลยภาพอยู่ที่ไหน คีย์ของดุลยภาพ คือการพัฒนาอย่างบูรณาการ ปัญหาที่แล้วมาของเราและของโลก คือการพัฒนาแบบแยกส่วน เศรษฐกิจไปเรื่องหนึ่ง การศึกษาไปเรื่องหนึ่ง การศึกษาไม่มาเกี่ยวข้องกับอะไรทั้งสิ้น เอาวิชาเป็นตัวตั้ง และแยกส่วนกัน
ฉะนั้น การพัฒนาต้องบูรณาการอย่างน้อย 8 เรื่องเข้ามาด้วยกัน เชื่อมโยงมาเป็นเรื่องเดียวกัน 1. เศรษฐกิจ 2.สังคม 3.จิตใจ 4.วัฒนธรรม 5.สิ่งแวดล้อม 6. สุขภาพ 7.การศึกษา 8. ประชาธิปไตย ให้เชื่อมโยงอยู่ในกระบวนการเดียวกัน โดยหลักคือเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง อย่าเอากรมเป็นตัวตั้ง
ประเทศไทยพัฒนาโดยเอากรมเป็นตัวตั้งมาตลอด กรมแยกส่วนเป็นเรื่อง หากจะบูรณาการต้องเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง ซึ่งสภาพัฒน์ฯ พูดมาตั้งแต่แผนฯ 8 แต่ไม่ได้ทำ
การทำงานของคณะกรรมการปฏิรูป มีข้อเสนอแนะว่า ต้องปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ เพราะระบบอำนาจรวมศูนย์ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำ ฉะนั้นของเสนอของการปฏิรูปประเทศไทย คือ การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจให้ชุมชน ท้องถิ่น จังหวัดจัดการตนเองให้ได้มากที่สุด หากชุมชน ท้องถิ่นจัดการตัวเองได้จะแก้ปัญหาต่างๆได้ 80-90% ไม่ต้องวิ่งเข้ามาสู่ส่วนกลาง ทุกวันนี้ปัญหาจากทุกพื้นที่มาที่นายกฯ เพราะเป็นจุดรวมศูนย์อำนาจ ดังนั้นจำเป็นต้องกระจายอำนาจออกไป …
เมื่อประเทศเราอยู่ในภาวการณ์ที่ซับซ้อน เชื่อมโยงหมดทั้งโลก หากเราไม่มีปัญญาพอ เราก็จะไม่สามารถรักษาบูรณภาพและดุลยภาพของตัวเราได้ ยุทธศาสตร์ทางปัญญาสำคัญที่สุดของประเทศ ซึ่งตรงนี้จะประกอบด้วยการศึกษา การสื่อสาร การวิจัย ให้เชื่อมโยงกันหมด โดยสำนักงานงบประมาณ กระทรวงการคลัง จึงต้องมาร่วมตรงนี้ เป็นคณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนฯ 11 และตั้งสถาบันพัฒนานักบริหารยุทธศาสตร์ เพื่อมาทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต่างๆ มิเช่นนั้นจะเหมือนเดิมต่อไป เพราะข้าราชการ นักวิชาการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไม่เป็น
มหาวิทยาลัยมี 100 กว่าแห่ง แม้จะรู้ว่าอะไรดี แต่ไม่ได้ตั้งคำถามเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ ว่าทำไมสิ่งที่รู้ว่าดีจะเกิดประโยชน์กับคนทั้งชาติ
“ดังนั้นคนไทยต้องคิดใหญ่ เราคิดแต่เล็ก และก็ตีกัน รวมทั้งตีกับเพื่อนบ้านด้วย ทำให้เราขาดโอกาส ...เราอยู่ตรงกลางระหว่างการเชื่อมโยงระหว่างอารยะธรรมใหญ่2 อารยะธรรม ต่อไปเราต้องคิดใหญ่ ว่า เราต้องเป็นศูนย์กลาง ที่จะผสานพลังของสุวรรณภูมิ ทำระบบการท่องเที่ยวสุวรรณภูมิให้ครบวงจร โครงสร้าง วิจัยภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม จะแก้ปัญหาทุกชนิดไปพร้อมกัน รวมทั้งการทะเลาะกับเพื่อนบ้านด้วย ต่อไปประโยชน์ร่วมกันไม่สำคัญแล้วเรื่องดินแดน
ผมคิดว่าคนไทยต้องรวมตัวกันคิดใหญ่ แล้วจะสร้างความสมานฉันท์ในประเทศ นอกประเทศ คนไทยต้องมีบทบาทนำในเรื่องต่างประเทศด้วย”
โฆสิต ปั่นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.ธนาคารกรุงเทพ
"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความจำเป็นในการขับเคลื่อนประเทศ
เพราะเป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และการปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ"
"แผนฯ 11 ได้มีความความพยายามทำในทิศทางที่บูรณาการก้าวแผนอื่น ส่วนทิศทางการขับเคลื่อนประเทศที่สำคัญ มีด้วยกัน 3 เรื่องคือ 1.ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความจำเป็นในการขับเคลื่อนประเทศ เพราะเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และการปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปตามทางสายกลาง ซึ่งเชื่อว่า ณ วันนี้เงื่อนไขสำคัญของสังคมที่เป็นสุข อยู่ที่ทางสายกลาง เพราะสังคมที่เข้าใจและยึดปฏิบัติทางสายกลางเป็นสังคมที่ก้าวหน้า พัฒนาและมีความสุข
ฉะนั้น การขับเคลื่อนเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ใหญ่สุด เพราะหากไม่มีทางสายกลาง ก็จะเกิดการติดขัด การไม่สามารถเดินไปข้างหน้าก็จะดำรงอยู่ในสังคมของเรา
ส่วนแนวทางทิศทางที่ 2 คือเรื่องโครงสร้างประชากร ซึ่งทางสภาพัฒน์ให้ความสนใจในมิติของสังคมผู้สูงอายุ แต่ผมอยากชี้ว่า โครง สร้างประชากรมีความหมายต่อทิศทางการขับเคลื่อนประเทศอย่างมาก ประเทศไทยอยู่ในช่วงสุดท้ายของการเปลี่ยนผ่านด้านโครงสร้างประชากร ซึ่งหมายความว่า มีอัตราการเกิดและการตายใกล้เคียงกัน
แปลว่า ประเทศไทยมีการอัตราการเพิ่มของประชากรไทยแต่ละปีต่ำมาก อยู่ที่ในอัตราร้อยละ 0.8 กอปรกับข้อมูลการคาดประมาณประชากร พ.ศ.2553-2563 พบว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนของประชากรวัยเด็กที่ยังไม่เข้าสู่แรงงานจำนวนร้อยละ 21.5 เทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนามซึ่งมีประชากรวัยเด็กร้อยละ 25.1 ขณะที่ฟิลิปปินส์มีประชากรวัยเด็กอยู่ที่ 33.4 ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะทยอยเข้าไปเป็นแรงงาน เป็นกำลังการผลิตของประเทศนั้นๆ
แต่ประเทศไทยกลับพบว่า กำลังแรงงานร้อยละ 67.0 ในปี พ.ศ.2553 กำลังลดลงเรื่อยๆ กระทั่งในปี พ.ศ.2563 สัดส่วนของแรงงานไทยจะเหลือเพียงร้อยละ 63.5 เท่านั้น สิ่งเหล่านี้จึงชี้ว่า ประเทศไทยจะไม่มีโอกาสที่มีกำลังแรงงานมากขึ้น ในทางกลับกันกลุ่มคนที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นคือกลุ่มผู้สูงอายุ แต่คนทำงานจะลดลง
เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นประเด็นสังคมอย่างเดียว แต่เป็นประเด็นทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะว่าจำนวนประชากรก็คือจำนวนผู้บริโภค ซึ่งประสบการณ์จากต่างประเทศ พบว่า เมื่อมีโครงสร้างประชากรลักษณะดังกล่าว
จะเห็นว่า จำนวนผู้บริโภคกำลังกลายเป็นข้อจำกัด นอกจากนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังเป็นคนที่อายุสูงอีกด้วย เพราะฉะนั้น การขับเคลื่อนและการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยอาศัยตลาดภายในประเทศ หรือปัจจัยทางเศรษฐกิจภายในประเทศ หากมองจากมุมนี้ จะเห็นว่าโอกาสภายในประเทศเป็นไปไม่ได้ เพราะจำนวนผู้บริโภคจะเพิ่มช้าหรือไม่เพิ่มเลย ขณะเดียวกันนอกจากตลาดมีขึ้นจำกัดกำลังแรงงานก็จะค่อยๆลดลง สิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่
ถามว่า การดำเนินการเพื่อจะข้ามข้อจำกัดนี้ โดยอาศัยตลาดของเพื่อนบ้านหรือใช้แรงงานของเพื่อนบ้านนั้น ทำได้ หากมีความสามารถพอ ดังนั้น การส่งเสริมลงทุนในประเทศบ้านจึงควรให้ความสำคัญ
นอกจากนี้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 5 แต่หากใจร้อน อยากให้โตมากกว่านี้ ก็สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่บนความรอบคอบ เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอาศัยการเป็นหนี้ไม่ยั่งยืน ซึ่ง จากการศึกษาประสบการณ์จากประเทศกรีซ โปรตุเกสจะพบว่า การมีหนี้มากกว่ารายได้ หรือภาษาธุรกิจเรียกว่าล้มลาย เพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องระยะยาว
การดำเนินการที่ใช้หนี้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำได้ แต่ไม่ยั่งยืน เพราะแม้กระทั่งประเทศใหญ่อย่างสหรัฐก็เจอแล้ว แต่ทั้งนี้ หนี้ นั่นไม่ได้หมายความว่า หนี้เฉพาะของรัฐบาลเท่านั้น แต่รวมถึงหนี้ของประชาชนด้วย ซึ่งเมื่อปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยก็เคยเสียเอกราชทางเศรษฐกิจเพราะหนี้ของภาคเอกชนมาแล้ว ดังนั้น ตราบใดที่อาศัยหนี้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ก็ทำได้เพียงระยะหนึ่ง แต่เน้นว่าต้องทำด้วยความรอบคอบ และวันใดวันหนึ่งหากสร้างหนี้มากกว่ารายได้ ความทุกข์ยากของประชาชนจะอยู่ในภาวะที่แทบจะทนไม่ได้ เหมือนกรีซ
ส่วนเรื่องที่ 3 ประเทศไทยขณะนี้มีรายได้ต่อคนประมาณ 5000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจัดเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง แต่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางนั้นมักเข้าสู่กับดัก ซึ่งตัวเลขจากไอเอ็มเอฟ ให้ข้อมูลว่าประเทศที่เรียกว่า ก้าวหน้าขณะนี้ 33 ประเทศ และในจำนวนดังกล่าวมีประเทศที่ยากจน ปานกลางเลื่อนชั้นขึ้นมาก้าวหน้า เพียง 4 ประเทศเท่านั้น ได้แก่ เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง เพราะประเทศชั้นกลางที่เหลือไม่สามารถข้ามกับดักของประเทศกำลังพัฒนาได้ เพราะมีข้อจำกัดเรื่อง ความสามารถในการแข่งขัน ต้องแข่งขันกับประเทศที่มีการเทคโนโลยีสูงกว่า อีกทั้งต้องถูกไล่บี้จากประเทศที่ตามมา
ดังนั้น หากประเทศไทยไม่พัฒนาขีดความสามารถ ก็จะตกอยู่ในกับดักเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะให้เศรษฐกิจโตร้อยละ 5 เลยเพียงแค่ร้อยละ 2-3 ก็ไม่ไหว เพราะฉะนั้นความสามารถดังกล่าว จึงเป็นทิศทางการขับเคลื่อนประเทศที่สำคัญ
ประเทศจีนอยู่ในระดับที่ไล่เลี่ยกับไทย แต่ทุกวันนี้มีความพยายามอย่างมากที่จะก้าวข้ามกับดักไปให้ได้ โดยสิ่งที่จีนจะใช้ก้าวข้ามกักดัก คือเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยการสะสมทุนทางปัญญา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องสะสม เชื่อมโยงการค้นคว้าวิจัย การปฏิบัติให้เข้ากับการเรียนการสอน ไม่เช่นนั้น หากปัญญาไม่มี ก็จะเน้นแต่การลอก
ส่วนกระบวนการสะสมทุนทางปัญญา สำหรับประเทศอุตสาหกรรมต้องให้ผลในเชิงปัญญาทางวิศวกรรมและการออกแบบ อย่างเช่นประเทศเกาหลี มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว กระทั่งมีบริษัทซัมซุง ความสามารถในการสร้างเครื่องจักร แต่ประเทศไทยทุกวันนี้ยังเป็นประเทศเดียวที่มีการซื้อรถจักรตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 กระทั่งปัจจุบันยังคิดซื้ออยู่ ต่างกับประเทศจีน ซื้อไม่กี่หัว ปัจจุบันจะเปลี่ยนเป็นขายแล้ว"