“ดร.เกษียร” แนะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ “ปรองดองกับหลักนิติธรรม”

อ.รัฐศาสตร์ มธ.ระบุชัด รัฐบาลใหม่ต้องไม่ใช่อำนาจเกินเลย เหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ หวั่นจะเป็นการผลักประชาชนไปสู่ทางออกที่เรียกว่า “รัฐประหาร” ยันทุกพรรคทุกฝ่ายต้องอยู่ร่วมกับประชาธิปไตยให้ได้
วันที่ 8 กรกฎาคม เครือธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสถาบันอิศรา จัดงานสัมมนา “ขับเคลื่อนประเทศไทย ภายใต้บริบท เศรษฐกิจ สังคม ยุครัฐบาลใหม่” ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ บี รร.เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ภายในงานมี ปาฐกถาพิเศษ ภายใต้แนวคิด “บ้านเมืองเรื่องของเรา” วิพากษ์สังคมและการเมืองไทย พร้อมวิพากษ์แนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดย รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.เกษียร กล่าวตอนหนึ่งถึงข้อเสนอต่อการ “ปรองดอง” ว่า มี 3 ประการที่รัฐบาลชุดใหม่ควรให้ความสำคัญ 1.สำหรับทุกพรรค ทุกฝ่าย สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปรองดองสำหรับคนกลุ่มนี้ คือ “การปรองดองกับประชาธิปไตย” สร้างความเข้าใจร่วมกันว่า ต้องอยู่ร่วมกับประชาธิปไตยให้ได้
2.การปรองดองที่สำคัญของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คือ “การปรองดองกับหลักนิติธรรม” ต้องไม่ใช่อำนาจเกินเลย ไม่กลายเป็นอำนาจนิยมเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ เพราะประชาธิปไตยอำนาจนิยม (การเลือกตั้ง) ที่ใช้อำนาจอย่างไม่จำกัดมาล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ก็จะเป็นการผลักประชาชนไปสู่ทางออกที่เรียกว่า “รัฐประหาร”
3.สำหรับวิธีการปรองดองกับกลุ่มคนที่เรียกร้องรัฐประหารอยู่ตลอด ต้องไม่ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นกลายเป็นวีรชน ด้วยการไปรังแกหรือข่มเหงเขา แต่ควรทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นกลายเป็นตัดตลกมากกว่า
แนวทางปฏิรูปสังคมและการศึกษาไทย
หลังจากนั้นมีเวทีเสวนา “แนวทางปฏิรูปสังคมและการศึกษาไทย” เมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป ข้อเสนอแนะและตัวอย่าง รูปแบบที่เหมาะสมจะนำมาใช้กับประเทศไทย โดย นพ. สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เลขาธิการ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและเลขานุการคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และดร.กฤษพงศ์ กีรติกร อดีตเลขาคณะกรรมการอุดมศึกษา และอดีตกรรมการปฏิรูป (คปร.)
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาสังคมในบ้านเมืองเราต้องทำความเข้าใจเรื่องพัฒนาการโครงสร้างอำนาจทาง การเมือง ภาพปัญหาชัดๆ 4 ส่วน ได้แก่ ช่องว่างของรายได้ ความเป็นธรรมของสังคม ทั้งด้านศักดิ์ศรี สิ่งแวดล้อม ที่ดินทำกิน ซึ่งปัญหาความไม่เท่าเทียมเหล่านี้ เป็นต้นตอของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ดังนั้น การแก้ปัญหาโครงสร้างจึงเป็นการแก้ที่รากฐานของปัญหาทั้งหมด เป็นกลไกที่ง่ายและไม่ต้องเสียเลือดเนื้อเหมือนกับการเปลี่ยนผ่านในวิธีอื่น
“โครงสร้าง หมายถึง กติกาและกลไกในสังคมที่ส่งผลกระทบไปทั้งเศรษฐกิจ ประชาชน การแก้ปัญหาโครงสร้างจึงหมายถึงการทำให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม มีศักดิ์ศรี โดยการจัดการอำนาจในสังคมไทย ด้วยการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน ที่ไม่ใช่การปฏิวัติ หรือใช้พลังมวลชนอย่างที่ผ่านมา"
เลขานุการคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงปัญหาบ้านเมืองสามารถคลี่คลายได้ ต้องมองให้ลึกซึ้ง ถึงปัญหาความยากไร้และความไม่เป็นธรรม ซึ่งหากยังปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ดำรงอยู่การแก้ปัญหาสังคม บ้านเมืองก็จะลำบาก เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันทั้งระบบ และการแก้ปัญหาบ้านเมืองด้วยกลไกนี้
นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมักจะทำเรื่องที่มองเห็นง่ายๆ ไม่สนใจแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เนื่องจากไม่ได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ควรทำ คือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างใน 3 ประเด็น 1.ต้องกระจายอำนาจอย่างจริงจัง ให้ท้องถิ่นเจริญขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งส่วนกลาง มีการตรวจสอบอย่างจริงจังโดยภาคประชาชนและปรับอำนาจรัฐส่วนกลาง เช่น กระทรวงมหาดไทย 2. เรื่องสวัสดิการและการแก้ปัญหาคนยากจน รัฐบาลไม่ควรทำนโยบายแจกเพียงอย่างเดียว เพราะ จะสร้างภาระมากไป โดยต้องออกแบบเพื่อสังคม เช่น เรื่องประกันสุขภาพและประกันสังคม และ3.เรื่องการศึกษา รัฐบาลต้องลงทุนเกี่ยวกับการเรียนรู้ ขณะที่สื่อมวลชน ควรเป็นช่องทางการเรียนรู้มากกว่าภาคธุรกิจ
ส่วนดร.กฤษพงศ์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดใหม่ต้องกล้าที่จะเปลี่ยน กล้าจัดการศึกษาให้เกิดระบบการเรียนรู้ กระจายอำนาจทางการศึกษา ยกระดับการศึกษาเพื่ออาชีพมากกว่าให้ความสำคัญกับกระดาษ สนับสนุนกลไกทางภาธุรกิจ อุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการศึกษาเพื่ออาชีพ รัฐบาลใหม่จึงควรมองเห็นรากฐานของปัญหาและสิ่งที่ต้องแก้ไขในระยะยาว นอกเหนือจากการแก้ปัญหาระยะสั้นที่ทำอยู่แล้ว
“รัฐบาลที่มี 300 เสียง น่าจะมีความกล้าหาญแตะเรื่องโครงสร้าง โดยเฉพาะโครงสร้างการศึกษา และควรให้ภาคส่วนอื่นเข้ามาช่วยเหลือ อย่าถือเงินไว้ใช้คนเดียว ขณะที่นโยบายประชานิยมการแจกเงินก็ต้องพัฒนาความสามารถในการทำงานให้มากขึ้น ควบคู่ไปกับการให้ค่าตอบแทนสังคมจึงจะอยู่รอดได้”
สำหรับข้อเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ ดร.กฤษพงศ์ กล่าวด้วยว่า ประการแรกต้องแก้ปัญหาโครงสร้าง ลดการผูกขาดการศึกษาที่มากกว่าเรื่องไปโรงเรียน ประการที่สองต้องส่งเสริมพัฒนาคนตลอดชีวิตและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่สะท้อนความสามารถในการแข่งขันและปัญหาสังคมหลายๆ อย่าง และสร้างเงื่อนไขการเกิดระบบการเรียนรู้ใหม่
