สามีตีตราฟีเวอร์! จับเข่าคุย นาวิกา “เมื่อทะเบียนสมรสไม่ใช่ยันต์กันผัวมีชู้”
“ทะเบียนสมรสไม่ใช่ยันต์กันผัวมีชู้ ไม่ใช่ยันต์กันเมียมีชู้ เราสามารถสะท้อนสิ่งเหล่านี้เข้าไปได้ในนวนิยาย คุณอาจจะมองว่านวนิยายน้ำเน่า แต่พี่จะบอกว่าในน้ำที่เน่ายังมีเงาจันทร์เสมอ เว้นเสียแต่เราจะเจออะไร”

หากจะเอ่ยชื่อ ‘ทัศนีย์ คล้ายกัน’ หลายคนคงไม่คุ้นหู แต่เมื่อเอ่ยถึงนามปากกา ‘นาวิกา’ ในฐานะผู้ประพันธ์ ‘สามีตีตรา’ ที่กำลังเป็นละครโด่งดังติดลมบนขณะนี้ เชื่อมั่นว่าหลายคนคงอยากพูดคุยกับเธอไม่น้อย ด้วยฝีมือการร่ายอักษรที่สุดแสนคมคายและแฝงแง่คิด ทำให้งานเขียนยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจผู้อ่านเสมอมา จนหลายเรื่องถูกนำมาสร้างเป็นละครครั้งแล้วครั้งเล่า
‘ทัศนีย์ คล้ายกัน’ ปัจจุบันอายุ 57 ปี เป็นเจ้าของ 8 นามปากกา ได้แก่ อาริตา, นาวิกา, ดาริกา, กันยามาส, สุนันทา, ทิพเกสร, มณีบุษย์ และเหมือนจันทร์ มีผลงานถูกนำมาสร้างเป็นละครทั้งสิ้น 100 เรื่อง จากทั้งหมด 300 เรื่อง ในเส้นทางชีวิตนักเขียนร่วม 39 ปี
ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ครั้งนี้ได้พบกับ ‘นาวิกา’ ในงานแถลงข่าวการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 42 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 12 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ต้องขอบอกว่าเธอฮอตไม่แพ้ดารานักแสดงในละครเลย ถึงขนาดมีคิวสัมภาษณ์จากบรรดาสื่อมวลชนหลายสิบชีวิตร่วม 2 ชั่วโมง
มีทุกอย่างเพราะการเป็นนักเขียน
นาวิกา เริ่มต้นบอกเล่าถึงชีวิตว่า นวนิยายของพี่ถูกนำไปสร้างเป็นละครเรื่องแรกเมื่อปี 2525 และตั้งแต่นั้นมาก็ขายงานละครมาตลอดทุกช่อง พี่เดินทางไปครบหมดแล้ว ไม่มีช่องไหนที่จะไม่มีงานพี่ ผ่านมาหมดทุกช่องแล้ว
ซึ่งนามปากกาที่ตนเองชื่นชอบมากที่สุด คือ ‘อาริตา’ เพราะเป็นนามปากกาแรกในชีวิต เกิดขึ้นเมื่อปี 2518 ผ่านมา 39 ปี พี่ยังคงทำอาชีพนี้เพียงอาชีพเดียว เรียกว่าเขียนนวนิยายอย่างเดียว และล่าสุด มีการเปิดสำนักพิมพ์ลีลาขึ้นเมื่อปี 2548 ซึ่งเป็นความฝันของคนเขียนหนังสือทุกคน
ส่วนสาเหตุที่เน้นงานเขียนเกี่ยวกับสถาบันครอบครัวนั้นเพราะเป็นเรื่องที่คนชอบอ่านมากที่สุด ก่อนหน้านี้พี่เคยเขียนเรื่อง ‘ดาวแดง’ เมื่อปี 2519 เป็นผลงานชิ้นที่สาม เกี่ยวกับการเมือง และปีที่แล้วพี่นำมาพิมพ์ซ้ำอีกครั้ง เชื่อหรือไม่ลูกค้าพี่จับหนังสือขึ้นมาแล้วก็วางลง แต่ทั้งนี้พี่เป็นคนเขียนนวนิยายทุกแนว เช่น คุณพ่อจอมซ่าส์ (ตลก) หมอผีไซเบอร์ (อาถรรพ์) หรือเสน่ห์นาง (อาถรรพ์) ที่เพิ่งเซ็นสัญญาเป็นละครกับช่อง 7
เมื่อถามว่าสิ่งใดที่ทำให้ประสบความสำเร็จ นาวิกา ตอบว่า พี่ไม่รู้ แต่พี่รู้เพียงว่าก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างเดียว ที่สำคัญ พี่สู้ แต่อย่าบอกว่าพี่ดัง เพราะพี่ไม่ใช่คนดัง แต่พี่สู้ เขียนอย่างเดียว เขียนเพราะใจรัก พี่มีทุกอย่างในชีวิตเพราะอาชีพนี้ มีบ้าน มีอะไรต่ออะไรเพราะอาชีพนี้ โดยที่ไม่ทำงานอื่นเลย มีทุกอย่างเพราะการเป็นนักเขียน
สำหรับหลักสำคัญในการเขียนนวนิยายนั้น พี่มองว่า คือ พล็อตเรื่อง เพราะถ้าพล็อตคุณไม่ดี คุณเละเลย เรื่องผัวเมียคุณจะทำอย่างไร เรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้คุณจะทำอย่างไร ถามว่าทุกวันนี้เขียนเรื่องแม่ผัวลูกสะไภ้ได้หรือไม่ ตอบว่าได้ แต่คุณจะทำอย่างไรให้เข้ากับปีนี้
“พี่ชอบยกตัวอย่างเทียบกับเรื่องของโบตั๋น แม่ผัวตีลูกสะใภ้ ถามว่าปัจจุบันจะเป็นไปได้หรือไม่ ตอบว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เราสามารถเขียนเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ให้เข้ากับปีนี้ได้หรือไม่ ตอบว่าทำได้ แต่ความคิดของเราต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัย เพราะการเขียนนวนิยายขึ้นอยู่กับวิธีคิด ถ้าคนอื่นคิดได้เท่านี้แล้วพี่คิดได้เท่านี้พี่จำเป็นต้องเขียนหลีกทาง เรียกว่า วิธีตบเรื่องจะทำอย่างไร”
ในน้ำที่เน่ายังมีเงาจันทร์เสมอ เว้นเสียแต่เราจะเจออะไร
ส่วนกระแสฟีเวอร์ของสามีตีตรานั้นว่า นาวิกากล่าวว่า ละครเรื่องนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากมีการเขียนบทดำเนินเรื่องราวได้เร็วและแรง กะรัตมีสามีมาแล้วถึงสามคน ซึ่งเราไม่บรรยายถึงประเด็นพฤติกรรมทางเพศที่ผ่านมาของเธอเลย แต่พูดเลยว่าวันนั้นเธอได้รับข่าวสามีคนที่สามเสียชีวิต จึงเกิดความเสียใจ แต่ไม่ทันไรพี่ก็ใส่เนื้อหาไปอีกตูมหนึ่งว่าสาเหตุที่สามีตาย เนื่องจากเพิ่งขับรถออกมาจากม่านรูดพร้อมผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คราวนี้เธอโมโหมาก แต่เมื่อกำลังจะตั้งหลักได้กลับต้องทราบว่าสายน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นเพื่อนของเธอมานานถึง 12 ปี ได้ท้องกับสามี
จึงกลายเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด สายน้ำผึ้งไม่จบเพียงเท่านี้ เธอยังพยายามทำทุกอย่างให้ได้ ซึ่งเกิดจากความแล้งแค้นยากจนในชีวิต จึงส่งผลให้เธอลุกขึ้นมาทำสิ่งเหล่านี้ แม้จะมีน้ารสคอยประคองชีวิต แต่อย่าลืมว่าน้ารสไม่ใช่แม่ ความเป็นน้ากับความเป็นแม่ดูแลลูกไม่เหมือนกัน
เธอกล่าวต่อว่า คนดูอาจกังวลว่าสายน้ำผึ้งจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่สังคม แต่ตอนจบเธอจะได้รับบทเรียน ด้วยความที่ดำเนินชีวิตผิดพลาด และเมื่อรู้ว่าผิดแล้วกลับไม่ยอมแก้ตัวอีก ท้ายที่สุดเธอก็รู้ว่าความทะเยินทะยานนั้นเป็นไปไม่ได้
“พี่ปั้นสายน้ำผึ้งขึ้นมาเป็นคนยากจนธรรมดา เพราะพี่มองว่าคนเรายากจนได้ แต่จิตใจต้องไม่แล้งแค้น แต่เธอกลับมีสิ่งเหล่านี้ เพราะการอยู่ใกล้กะรัตที่มีฐานะต่างกันสุดขั้ว ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่การอยู่ใกล้กันจะไม่ทำให้รู้สึกอะไรเลย”
ยกตัวอย่าง มีเพื่อนคู่หนึ่งคบกันใหม่ ๆ แต่กลับต้องมาทำงานที่เดียวกัน ซึ่งต้องแข่งขันเรื่องอะไรสักอย่าง สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ความสัมพันธ์แตกหักได้ เช่นเดียวกันกะรัตมีฐานะดีมาก มากจนไม่รู้ว่าเวลาจะให้คนที่ยากจนต้องทำอย่างไร แต่สายน้ำผึ้งมีปมในหัวใจ จึงดำเนินชีวิตผิดพลาด
นาวิกา จึงเห็นว่า เรื่องราวดังกล่าวถือเป็นสิ่งพื้นฐานของครอบครัวไทยทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นจึงได้รับความนิยมเสมอมา เรียกได้ว่านำกลับมาตีความเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่พี่เขียนเรื่องนี้ขึ้น เนื่องจากมีแนวคิด 2 ประการ คือ 1.การมีทะเบียนสมรสกับการไม่มีแตกต่างกันอย่างไร และ 2.หากคนเราโดนแย่งระหว่างของรักกับผู้ชายที่รัก สิ่งใดจะทำให้เก็บกดกว่ากัน
“ทะเบียนสมรสไม่ใช่ยันต์กันผัวมีชู้ ไม่ใช่ยันต์กันเมียมีชู้ เราสามารถสะท้อนสิ่งเหล่านี้เข้าไปได้ในนวนิยาย คุณอาจจะมองว่านวนิยายน้ำเน่า แต่พี่จะบอกว่าในน้ำที่เน่ายังมีเงาจันทร์เสมอ เว้นเสียแต่เราจะเจออะไร”

ถ้ายังไม่เคยอ่านงานของเรา คุณอย่าเพิ่งวิจารณ์ฉัน
เมื่อถามว่าสามีตีตราเวอร์ชั่นนี้แตกต่างจากนวนิยายมากเพียงใด เธอระบุทันทีว่าย่อมแตกต่างอยู่แล้ว เพราะนวนิยายคนอ่านสามารถจินตนาการเอง แต่เมื่อนำมาทำละครแล้วจะต้องสื่อสารออกมาเป็นภาษาภาพ ซึ่งล้วนแต่มีวิธีการทำงานอยู่ ซึ่งคนเขียนทุกคนยอมรับได้กับการดัดแปลงดังกล่าว เพียงแต่ต้องไม่ออกทะเลเกินไป ถึงขนาดนั่งดูแล้วจำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่เราแต่ง
สำหรับพี่นั้นก็เคยมีไม่ถึง 5 เรื่อง ที่ดัดแปลงไปจนจำไปได้ เรียกได้ว่าเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง ไม่คงแก่นแท้ไว้เลย แต่ไม่ขอบอกชื่อเรื่อง แต่บางครั้งพี่ก็เข้าใจว่าการทำละครอาจมีเรื่องการตลาดรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีทีมงานมากกว่า 1 คน ในขณะที่คนเขียนหนังสือมีเราคนเดียว ฉะนั้นพี่จึงเข้าใจ
นาวิกา ยังกล่าวถึงกระแสการต่อต้านเรื่องน้ำเน่าด้วยว่า ในฐานะคนเขียนนวนิยายมาทั้งชีวิต พี่ไม่เคยทำงานอื่นเลย และหากใครบอกว่าเรื่องของเราน้ำเน่า พี่ยอมรับคำนี้ได้ แต่ถ้าคุณยังไม่เคยอ่านงานของเรา พี่จะบอกทันทีว่าคุณอย่าเพิ่งวิจารณ์ฉัน ขอให้กลับไปอ่านงานของฉันก่อน ว่าในนวนิยายแต่ละเรื่องนั้นได้ให้ข้อคิดอะไรไว้บ้าง
“อย่าคาดหวังกับคนเขียนนวนิยายมากนักว่าจะต้องจรรโลงสังคม ต้องเป็นนู่นเป็นนี่ อย่านำภาระอันยิ่งใหญ่มาไว้บนบ่าของเรา หากคุณอยากอ่านงานที่เป็นสาระให้ไปอ่านสารคดีหรืองานวิชาการ แต่ถ้าอ่านนวนิยายให้คิดก่อนว่ามันช่วยในการประเทืองปัญญาและอารมณ์ แต่อาจจะไม่ได้ในแง่วิชาการมากนัก เพียงแต่เราจะย่อยเนื้อหาบางอย่างมาให้”
เธอยกตัวอย่างให้เห็นว่า ขณะนี้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง บ้านเมืองกำลังมีปัญหากัน ดังนั้นเราจะบอกผู้อ่านอย่างไรว่าปี 2556-2557 มีเหตุการณ์ทางการเมืองแบบนี้เกิดขึ้น จะยัดใส่ในปากตัวละครอย่างไร ทั้งหมดล้วนต้องสื่อสารให้แนบเนียน แต่ไม่ใช่ว่ามาบอกว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเลย
นาวิกา ขยายความต่อว่า นวนิยายไทยมักถูกมองแบบรังเกียจเดียดฉันท์ว่าอ่านแล้วใจแตก ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิชาการทั้งหลายไม่อยากให้มีอยู่เลยในโลกนี้ เรียกว่าไม่ต้องมีละครน้ำเน่า ไม่ต้องมีละครพาฝัน แต่ความจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ นวนิยายต้องอยู่เพื่อบันทึกชีวิตและสังคม
เมื่อถามถึงแนวคิดการใช้ชีวิตคู่ที่ยืนยาว เธอมองว่าขึ้นอยู่กับคนสองคน เริ่มแรกเรารักกัน แต่เมื่ออยู่ไปนาน ๆ ความรักเริ่มจืดจาง ฉะนั้นจึงต้องมีความเข้าใจ และที่สำคัญที่สุด ต้องรู้จักให้อภัย ปรับตัวเข้าหากัน เพราะพื้นฐานชีวิตของคนสองคนไม่เหมือนกัน
“สถาบันครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปมาก ยิ่งเด็กรุ่นใหม่กับความรักมีมุมมองไม่เหมือนรุ่นเรา ความรักของเด็กยุคนี้เป็นอะไรง่าย ๆ ไม่พอใจก็แยกทางกันไป”
ท้ายที่สุด เธอกล่าวด้วยความมั่นใจว่า อีก 10 ปี คงจะมีสามีตีตรา เวอร์ชั่น 4 ถ้ามีนักแสดงที่เหมาะสม ซึ่งพี่คิดว่าเวอร์ชั่นนี้ได้รอจนมีนักแสดงที่สามารถถ่ายทอดบทบาทได้ แต่หากเป็นนักแสดงหน้าใหม่ เรื่องนี้คงไม่เกิดอารมณ์กับคนดู .
twitter:@jibjoyisranews
Email: [email protected]
