โซ่ตรวนพันธนาการรัก ‘ม.ร.ว.กีรติ’ สตรีสูงศักดิ์แห่งอมตะ ‘ข้างหลังภาพ’
"คนเรานั้นเกิดมาล้วนมีไม้ค้ำคอทุกคน โดยส่วนใหญ่ไม้ค้ำคอนั้นมักจะหลุดออกเมื่อร่างกายเจริญเติบโตขึ้น แต่สำหรับหม่อมราชวงศ์กีรติหรือบุคคลชนชั้นสูงนั้นไม่ว่าร่างกายจะเจริญเติบโตมากขึ้นเพียงไร ต่างไม่ยอมที่จะให้ไม้ค้ำคอนั้นหลุดออกเป็นเด็ดขาด"

งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 42 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 12 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มีนาคม – 7 เมษายน 2557 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้ชื่องาน ‘โลกคือนิยาย’ นั้น มีการจัดนิทรรศการ ‘ข้าพเจ้าได้เห็นมา โลกนิยายของศรีบูรพา’ ขึ้น เพื่อเป็นเกียรติในฐานะที่ศรีบูรพาเป็นนักเขียนชาวไทยที่ได้รับการกล่าวขานและยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก
ซึ่งเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้เขียนแนะนำวรรณกรรมเอกชิ้นเยี่ยมของศรีบูรพาไว้ (อ่านเพิ่มเติม:เปิดนวนิยายอมตะ ‘ข้างหลังภาพ’ สู่บรอดเวย์ ‘BEHIND THE PAINTING’) ด้วยชื่นชอบในรสอักษรเป็นการส่วนตัว และมุ่งหวังจะเผยแพร่ให้คนรุ่นใหม่ได้อ่าน โดยไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนด้วยสุจริตใจเลยว่า งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปีนี้จะมีการจัดนิทรรศการเชิดชูเกียรตินักประพันธ์ชั้นครูอย่างศรีบูรพาขึ้น
และนับเป็นความอาจหาญของข้าพเจ้าที่จะหยิบยก ‘ข้างหลังภาพ’ ขึ้นมาวิจารณ์อย่างเต็มรูปแบบในโอกาสนี้ แม้แท้จริงแล้ววรรณกรรมจะมีความสมบูรณ์แบบจนยากหาที่ติได้ก็ตาม ก็ด้วยปลายนิ้วที่จรดแป้นพิมพ์ดีดที่หนักแน่น จนถ่ายทอดอารมณ์ผ่านตัวอักษรตั้งแต่บรรทัดแรกจนกระทั่งอวสานได้อย่างลงตัวนั่นเอง
หากแต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่าในโลกวรรณกรรมนั้น การวิจารณ์งานเขียนยังคงเป็นสิ่งสำคัญในปัจจุบันอยู่ ทั้งนี้ คงเป็นไปในทิศทางที่ดึงสาระ ข้อคิด เพื่อนำมาสู่การจรรโลงสังคมมากกว่าจะกล่าวร้ายในผลงานวรรณกรรม เพราะสุดท้าย คงไม่ใครสามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาว่าเหตุใดจึงถ่ายทอดผลงานออกมาในรูปแบบนี้เท่ากับศรีบูรพาเอง
ข้าพเจ้าจึงขอหยิบยกแค่บางช่วงบางตอนขึ้นมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับสังคมไทยในปัจจุบัน ในกรณีนี้ที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นชีวิตแสนรันทดของหม่อมราชวงศ์กีรติที่เปรียบดุจดังนกน้อยในกรงทอง มีพร้อมทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ แต่ไม่สามารถจะมีอิสระในชีวิตได้ แม้กระทั่งความรัก จนวัยของหล่อนล่วงเลยมาถึง 35 ปี พันธนาการความรักนั้นจึงได้หลุดพ้นจากการจองจำ ด้วยการสมรสกับท่านเจ้าคุณอธิการบดีซึ่งการตัดสินใจสมรสกับชายวัย 50 ปีนั้น เชื่อว่ามิใช่เพราะความรักที่หล่อนมีต่อผู้เป็นสามีเป็นแน่แท้
เพราะเหตุใดข้าพเจ้าจึงคิดเช่นนั้น ก็ด้วยวิเคราะห์จากบนสนทนาระหว่างนพพรกับหม่อมราชวงศ์กีรติในคืนสุดท้ายที่กามากูระ เมืองชายทะเลแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
“...ผมหมายถึงความรักฉันสามีภริยา ฉันชายกับหญิง”
“เธอก็เห็นแล้วว่า ฉันเป็นอะไร ท่านเจ้าคุณเป็นอะไร วัยของเราแตกต่างกันมาก สิ่งนี้เปรียบเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กั้นระหว่างความรักของเรา ทำให้ความรักของเราพบกันไม่ได้”
“แต่ว่าความรักระหว่างคนแก่กับหญิงสาว ก็อาจมีได้ไม่ใช่หรือครับ”
“ฉันไม่เชื่อในความรักระหว่างคนสองคนจำพวกนี้ ฉันไม่เชื่อว่าจะมีได้จริง นอกจากเราจะรับเอาเองว่าเป็นเช่นนั้น ซึ่งอาจเป็นการรับเอาอย่างผิด ๆ”
จากบทสนทนาข้างต้น ทำให้ข้าพเจ้ารับรู้ได้ว่าก้นบึ้งจิตใจของหม่อมราชวงศ์กีรตินั้นมิได้รักท่านเจ้าคุณอธิการบดีโดยเสน่หาเลย ยิ่งประกอบกับบทสนทนาตอนต่อไป ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าแน่ชัดในจิตใจในสมมติฐานเข้าไปอีก
“แล้วท่านเจ้าคุณเล่า ท่านรักคุณหญิงหรือไม่”
“ฉันตอบแทนท่านไม่ได้ ฉันรู้ว่าท่านมีความเอ็นดูฉัน ท่านอาจจะรักฉันอย่างผู้ใหญ่รักเด็ก ๆ แต่นั่นไม่ใช่ความรักตามความหมายที่เธอต้องการจะฟังมิใช่หรือ ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่เชื่อในความรักระหว่างชายแก่กับหญิงสาว และเพราะฉะนั้น ฉันก็ไม่ได้คาดหมายความรักอันรัดรึงใจจากท่าน”
“คุณหญิงหมายความว่าท่านไม่ต้องการความรัก ท่านไม่แสวงหาความรัก แม้กระทั่งในภริยาของท่านเช่นนั้นหรือ”
“ถูกแล้ว ฉันหมายความเช่นนั้น และฉันเชื่อว่าความจริงเป็นเช่นนั้น”
“เพราะเหตุใดเล่า”
“เพราะว่าน้ำรักของท่านได้เหือดแห้งไปพร้อมกับวัยชราของท่านเสียแล้ว วัยแห่งรสรักได้ผ่านพ้นท่านไปเสียแล้ว...”
จากบทสนทนาทั้งสองตอนที่ข้าพเจ้าได้หยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างนั้น ล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่าหม่อมราชวงศ์กีรติมิอาจยอมรับในอายุที่มากกว่าหล่อนเกือบเท่าตัวได้ จึงยืนยันอย่างหนักแน่นต่อนพพรเกี่ยวกับความรักที่คงยากจะเกิดขึ้นฉันสามีภรรยา
แต่หากการคาดหมายของข้าพเจ้าผิดพลาด ก็อาจจะมองได้อย่างหนึ่ง การที่หม่อมราชวงศ์กีรติเอ่ยวาจาออกมาเช่นนั้น เพียงเพื่อต้องการยืนยันว่าหัวใจของหล่อนว่างเสมอ และพร้อมจะเปิดกว้างให้ชายหนุ่มอย่างนพพร ด้วยขณะนั้นเมื่อผู้อ่านได้ทัศนาในอักษรที่ร้อยเรียงเรื่องราวจนต้องมนต์ล้วนเชื่อเหลือเกินว่าหม่อมราชวงศ์กีรติได้แอบหลงรักนพพรโดยเสน่หาแล้ว เพียงแต่ด้วยศักดิ์ศรีเกียรติยศอันสูงส่งจึงยากจะเปิดเผยออกมาให้อีกฝั่งรู้ได้ เพราะหล่อนได้เตือนสติตนเองเสมอว่ามีสามีเป็นถึงท่านเจ้าคุณอธิการบดีแล้ว
แล้วเหตุใดเล่า? หม่อมราชวงศ์กีรติจึงยอมสมรสกับท่านเจ้าคุณอธิการบดี ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเพราะหล่อนต้องการหลุดพ้นจากพันธนาการที่ผู้เป็นพ่อกำหนดไว้มากกว่า ความน่าเบื่อจำเจที่หล่อนต้องสัมผัสมาตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งวัยล่วง 35 ปี ในขณะที่พี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันออกเรือนไปหมดแล้ว จึงอาจส่งผลให้หล่อนเกิดปมด้อยในจิตใจและพร้อมจะก้าวเดินออกจากวังวนการจองจำนั้นก็เป็นได้ ฉะนั้นการยอมสมรสกับท่านเจ้าคุณอธิการบดีจึงมิใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายนัก แม้จะขมขื่นก็ตาม
ข้าพเจ้าจึงขอหยิบยกบทสนทนาระหว่างหม่อมราชวงศ์กีรติกับนพพร เพื่อเป็นการยืนยันว่านอกจากหล่อนจะแต่งงานกับท่านเจ้าคุณอธิการบดี โดยไม่มีความเสน่หาแล้ว หล่อนยังมุ่งหวังเพียงต้องการหลุดจากการจองจำที่คนภายนอกสรรเสริญว่าสวยหรู หากแท้จริงแล้วแสนป่าเถื่อนยิ่งกว่าสิ่งใด
“วงชีวิตในวัยสาวของฉัน เป็นวงชีวิตที่แคบมาก ฉันไม่มีโอกาสที่จะร่าเริงบันเทิงใจในวัยรุ่นสาวของฉัน ดุจเดียวกับสตรีสาวที่เป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแยกตัวฉันออกจากท่านสุภาพสตรีเหล่านั้นดอก แต่ความจริงฉันได้ถูกแยก ฉันไม่ได้เป็นเจ้า แต่ฉันก็เป็นลูกเจ้า...”
ประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าแอบคิดคำนึงถึงขนบธรรมเนียมผู้ที่อยู่ในตระกูลชนชั้นสูงของไทยล้วนมีวงชีวิตที่แคบตามที่หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวอ้าง เห็นทีน่าจะจริงตามที่ปรากฏ ซึ่งด้วยเหตุนี้แลทำให้หม่อมราชวงศ์กีรติมีความอึดอัดในจิตใจ เสมือนต้องการอิสระในชีวิต
ซึ่งคนเรานั้นเกิดมาล้วนมีไม้ค้ำคอทุกคน โดยส่วนใหญ่ไม้ค้ำคอนั้นมักจะหลุดออกเมื่อร่างกายเจริญเติบโตขึ้น แต่สำหรับหม่อมราชวงศ์กีรติหรือบุคคลชนชั้นสูงนั้นไม่ว่าร่างกายจะเจริญเติบโตมากขึ้นเพียงไร ต่างไม่ยอมที่จะให้ไม้ค้ำคอนั้นหลุดออกเป็นเด็ดขาด แต่กลับเดินเชิดหน้าชูคอดั่งนางหงส์ไปมาอย่างสง่างามในความคิด แม้จิตใจเบื้องลึกบางครั้งจะเจ็บปวดเมื่อต้องแลกกับอิสรภาพบางสิ่งบางอย่างก็ตามที
อีกตอนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติถูกจองจำจากกฎจารีตธรรมเนียมดั้งเดิม
“ฉันอยู่บ้านเรียนหนังสือจากครูแหม่มบ้าง บางทีท่านพ่อก็ส่งฉันไปอยู่ในรั้วในวัง รับใช้เจ้านายใหญ่โตองค์หญิงบางองค์ที่เป็นญาติของเรา ฉันใช้ชีวิตในวัยสาวของฉันในทำนองนี้หลายปี ฉันต้องอยู่ในโลกของเจ้านายนานพอ จนฉันแทบไม่มีโอกาสระลึกว่าความเป็นสาวนั้นมีค่าอย่างที่สุดสำหรับสตรีเพศเพียงใด...”
นับเป็นความอัดอั้นตันใจที่หม่อมราชวงศ์กีรติบอกเล่าจนเหมือนจะระบายต่อนพพร ซึ่งบทสนทนาบางช่วงบางตอนที่ข้าพเจ้าหยิบยกขึ้นมานั้น ได้พิสูจน์ได้ส่วนหนึ่งว่าศรีบูรพาอาจพยายามตีแผ่ชีวิตของกลุ่มคนชนชั้นสูงให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างที่ไม่ยุติธรรมกับชีวิตคนบางคน ทำให้ข้าพเจ้าแอบคิดไปไกลว่าตัวละครที่ปรากฏในนิยายเรื่องนี้นั้นอาจมีอยู่จริงในสังคมชนชั้นสูงในอดีตเป็นแน่ และเชื่อว่าปัจจุบันก็ยังมีอยู่ อาจจะเปลี่ยนแปลงเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่สำหรับโครงสร้างลึก ๆ ยากจะแก้ไขให้หายขาดแบบปลิดทิ้งได้
แล้วปัจจุบันคนสามัญชนธรรมดาอย่างเรา ๆ ยังมีกรณีอย่างหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่ ช่างเป็นคำถามที่ชวนคิดและน่าค้นหาเป็นที่สุด สำหรับประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้พบเจอมายืนยันได้หนักแน่นว่า ‘ยังมีอยู่จริง’ ทั้งในสังคมเมืองและชนบท
ซึ่งมักพบเห็นหลายครอบครัวมีการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานด้วยการขีดเส้นให้เดินรอยตามที่พ่อแม่กำหนดไว้ เพียงเพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งดีและปลอดภัย โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่กำลังกระทำอยู่นั้นดีเพียงส่วนหนึ่ง มิใช่ทั้งหมด ถึงขนาดบังคับแม้กระทั่งให้สมรสกับชายสูงวัยกว่าหลายสิบปีก็มีให้เห็น ซึ่งคงน้อยนักที่จะยอมแต่งงานเพียงเพื่อหลุดพ้นจากพันธนาการ แต่ส่วนใหญ่ที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้ หญิงสาวมักยอมสมรสกับชายสูงวัยเพียงเพราะอำนาจเงินตราและเกียรติยศเท่านั้น
สาเหตุที่ข้าพเจ้ากล้าระบุว่าการขีดเส้นให้เดินรอยตามที่พ่อแม่กำหนดนั้นดีเพียงส่วนหนึ่ง เพราะแน่นอนบุตรหลานอาจจะได้รับสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตจากประสบการณ์ที่พ่อแม่พบเจอมาก่อน เสมือนเป็นเครื่องการันตีได้ทางหนึ่ง แต่มิใช่ทั้งหมดอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ด้วยบุตรหลานจะขาดการเรียนรู้ประสบการณ์ด้วยตนเอง จนไม่สามารถจะเข้าใจในการใช้ชีวิตได้ และเมื่อไร้ซึ่งพ่อแม่บนโลกใบนี้แล้ว ชีวิตก็จะดิ่งลงเหวอย่างไม่ทันระวังตัว
สุดท้ายวงชีวิตอาจเหมือนหม่อมราชวงศ์กีรติที่กว่าจะรู้สึกตัวว่าตนเองต้องการโผบินออกจากกรงทอง เวลานั้นวัยก็น่าจะล่วงเลยเข้าสู่ช่วงกลางคนเสียแล้ว ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างก็ยากจะทวงคืนกลับมาได้ดังที่วาดหวังไว้
ท้ายที่สุด ตัวละครอย่างหม่อมราชวงศ์กีรติที่ศรีบูรพาได้ปั้นฉายภาพไว้ได้สะท้อนวงชีวิตของสตรีไทยจากอดีตสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัวว่าแท้จริงแล้ว ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนผ่านไปนานเสียเพียงใด อิสรภาพแห่งชีวิตรักก็มักถูกโซ่ตรวนของผู้ชายตราตรึงไว้จนมลายหายไปแทบหมดสิ้นเสียทุกคน
โดยเฉพาะพิสูจน์ได้จากประโยคตอนจบที่หม่อมราชวงศ์กีรติฝากถึงนพพร ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า ชายที่หล่อนหลงรักโดยเสน่หาเเละเคยทอดสะพานรับรักนั้น กระท่ั่งวันสิ้นลมหายใจหล่อนก็ไม่สามารถเป็นผู้ปลดล๊อกโซ่ตรวนที่พันธนาการรักหล่อนไว้ด้วยตนเองได้อย่างเเท้จริง
“ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่าฉันมีคนที่ฉันรัก” .
ภาพประกอบ:เเฟนเพจ ข้างหลังภาพ ศรีบูรพา
twitter:@jibjoyisranews
E mail : [email protected]
