ผลสำรวจพบเด็ก72%ชอบอ่านหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียน
ผลสำรวจพบเด็ก72%ชอบอ่านหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียน โดยเฉพาะการ์ตูน หนังสือคอมฯ
เนื่องในโอกาส “วันหนังสือเด็กแห่งชาติ” 2 เมษายน 2557 แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายเสียงประชาชน (WE VOICE)
ได้สำรวจความคิดเห็นของเด็กนักเรียนชั้น ป.1 – ป.6 ของโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน อายุระหว่าง 6-13 ปี ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2557 จำนวนทั้งสิ้น 1,124 คน ผลพบว่า
เด็กส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียนมากถึงร้อยละ 72.8 ในจำนวนนี้ระบุเหตุผลที่ชอบอ่านหนังสือเพราะมีหนังสือที่ชอบมากที่สุด รองลงมา ชอบอ่านหนังสือเอง และชอบอ่านหนังสือเพราะมีบุคคลต้นแบบ (ร้อยละ 57.1, 18.8 และ 16.1 ตามลำดับ) โดยระบุว่า หนังสือที่ชอบอ่าน คือ หนังสือการ์ตูนมากที่สุด รองลงมาคือ หนังสือนิทาน และหนังสือนิยาย/ซีรีย์ ดารา/บันเทิง ใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 53.4, 21.5 และร้อยละ 10.2/10.0 ตามลำดับ)
สำหรับบุคคลต้นแบบที่ทำให้ตนเองชอบอ่านหนังสือนั้น ส่วนใหญ่ระบุว่า คือ พ่อแม่ รองลงมา คือ เพื่อน และครู (ร้อยละ 44.0, 23.2 และ 15.2 ตามลำดับ) ส่วนเหตุผลที่ระบุว่าชอบอ่านหนังสือ เพราะที่บ้านมีหนังสือเยอะ และมีห้องสมุดในโรงเรียน/ใกล้ชุมชน สูงสุดเท่ากัน (ร้อยละ 31.7)
ส่วนกรณีที่เด็กบางส่วน (ร้อยละ 27.2) ไม่ชอบอ่านหนังสืออื่นๆ นอกจากหนังสือเรียนนั้น เด็กๆ ให้เหตุผลว่า เพราะมีอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าให้ทำ (ร้อยละ 31.8) รองลงมาคือ ไม่มีหนังสือที่น่าสนใจ (ร้อยละ 28.4) และที่น่าสนใจคือ อ่านหนังสือไม่ออก คิดเป็นร้อยละ 16.9 และเมื่อถามต่อว่าถ้าต้องการให้ชอบอ่านหนังสือต้องทำอย่างไรเด็กๆ ระบุว่าต้องมีเพื่อนอ่านด้วยกันมากที่สุด(ร้อยละ 28.3) รองลงมาคือ ต้องมีหนังสือที่น่าสนใจ (ร้อยละ 26.9)
เช่นเดียวกัน เมื่อถามถึงประเภทหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียนที่เด็กๆ อ่าน พบว่า เด็กส่วนใหญ่ ระบุว่า อ่านหนังสือการ์ตูนมากที่สุด รองลงมาคือ อ่านหนังสือจากสื่อคอมพิวเตอร์/อินเตอร์เน็ต และอ่านหนังสือจากนิตยสารหรือ พ็อกเก็ตบุค (ร้อยละ 64.1, 17.1 และ 12.1 ตามลำดับ)
สถานที่ในการอ่านหนังสือของเด็ก ส่วนใหญ่ จะอ่านหนังสือที่บ้านมากที่สุด รองลงมา คือ ห้องสมุดของโรงเรียน และห้องสมุดชุมชน (ร้อยละ 56.0, 29.0 และ 11.2 ตามลำดับ)
ที่น่าสนใจคือ ระยะเวลาในการอ่าน พบว่า เด็กจำนวนเกือบครึ่งอ่านหนังสือน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน รองลงมา คือ 1-2 ชั่วโมงต่อวัน และ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน (ร้อยละ 44.6, 40.7 และ 12.3 ตามลำดับ)
สุดท้าย เมื่อถามว่า เมื่อได้อ่านหนังสือแล้ว คิดว่าได้รับประโยชน์อะไรมากที่สุด เด็กตอบว่า ทำให้เป็นคนเก่ง/ฉลาด รองลงมา สามารถสรรค์สร้างจินตนาการได้ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เป็นคนดี และไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังได้ (ร้อยละ 26.3, 22.6, 17.5, 10.0 และ 10.0 ตามลำดับ)
จากผลการสำรวจครั้งนี้ พบประเด็นที่น่าสนใจคือ
ประเด็นที่ 1 เด็กส่วนใหญ่ยังชอบอ่านหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียนกันมากที่สุด โดยเฉพาะหนังสือการ์ตูนและนิทาน จะเป็นสื่อการอ่านให้กับเด็กนักเรียนระดับชั้นประถมมากที่สุด
ประเด็นที่ 2 เด็กส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือที่บ้าน และห้องสมุดโรงเรียนมากที่สุด พ่อแม่และเพื่อนๆ ถือเป็นต้นแบบที่ดีในการทำให้เด็กๆ สนใจการอ่านหนังสือ โดยแรงบันดาลใจของเด็กๆ คือความมุ่งหวังที่จะเป็นคนเก่ง/ฉลาด และสามารถสร้างจินตนาการที่ดีได้
ประเด็นที่ 3 ที่น่าเป็นห่วงอย่างมากก็คือ เด็กไทยส่วนใหญ่ยังใช้ระยะเวลาในการอ่านหนังสือต่อวันค่อนข้างน้อย (น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ถึง 1 – 2 ชั่วโมงต่อวัน) และมีเด็กบางกลุ่ม ในระดับประถมศึกษานี้ ที่ยังอ่านหนังสือไม่ออก
ทั้งนี้ นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ได้กล่าวเชิญชวนพ่อแม่ร่วมเทิดพระเกียรติ “เจ้าฟ้านักอ่าน” ร่วมกัน และได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผลสำรวจว่า “เด็กช่วงวัยประถมศึกษา 6-12 ปี เป็นวัยเตรียมความพร้อมทั้งร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา วัยนี้จะมีการเรียนรู้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา พร้อมจะออกไปสู่สังคมภายนอกที่ปกป้องเขาน้อยลงในปัจจุบัน เด็กต้องช่วยตัวเองมากขึ้น การอ่านจึงเป็นเครื่องมือส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญ ผลสำรวจที่พบในครั้งนี้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการที่ คุณพ่อคุณแม่ยังคงมีบทบาทสูงในการเป็นต้นแบบและชี้แนะให้กับลูกได้”
ขอขอบคุณข่าวจาก

