“สมศักดิ์” ไม่รอด! ป.ป.ช. เชือดตาม “นิคม” ปมแก้ที่มา ส.ว. ขัดรธน.
“ป.ป.ช.” ฟัน “สมศักดิ์” ตาม “นิคม” เหตุแก้ที่มา ส.ว. ขัดรัฐธรรมนูญ ตีตกข้อกล่าวหาโหวตลงมติวาระ 3 ชงวุฒิสภาถอดถอนต่อ

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2557 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวิชา มหาคุณ โฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงผลการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และกรณีร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง กรณีเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ในประเด็นเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในส่วนของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส. ในฐานะประธานรัฐสภา
นายวิชา กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานจนเสร็จสิ้น และได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ประกอบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15 – 18/2556 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า
1.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ได้นำญัตติ ขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับซึ่งมิใช่ฉบับเดิมของนายอุดมเดช รัตนเสถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคณะ เป็นผู้เสนอเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2556 ส่งสำเนาให้สมาชิกรัฐสภาเพื่อประกอบการประชุม ร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2556
โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2556 นายอุดมเดช รัตนเสถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักการประชุม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม บันทึกหลักการและเหตุผล และบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญฉบับใหม่ทั้งฉบับ ไปเปลี่ยนกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับเดิมกลับคืนไป โดยการแก้ไขดังกล่าวไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาลงชื่อเสนอญัตติตามมาตรา ๒๙๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ในฐานะประธานรัฐสภา ทราบถึงการแก้ไขดังกล่าว
2.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ได้ตัดสิทธิ ผู้ขออภิปรายในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2556 และจงใจปิดการอภิปรายในมาตรา 10 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2556 ทั้งๆ ที่มีสมาชิกที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิอภิปรายจำนวนมาก นอกจากนี้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2556 ยังได้ขอมติที่ประชุมเพื่อวินิจฉัยตัดสิทธิผู้ขอแปรญัตติและผู้สงวนความเห็นเป็นจำนวน 57 คน เพราะเหตุขัดต่อหลักการทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้มีการฟังการอภิปราย ตามคำร้องจริง แต่ไม่มีพฤติการณ์ร่วมกับนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ตัดสิทธิดังกล่าว
3.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ได้จัดให้มีการลงมติให้กำหนดเวลาแปรญัตติ 15 วัน โดยให้เริ่มนับระยะเวลา 15 วันนับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2556 ซึ่งเป็นวันที่รับหลักการ เห็นว่า การแปรญัตติ เป็นสิทธิของสมาชิกรัฐสภาที่จะเสนอความคิดเห็น การแปรญัตติจึงต้องมีเวลาพอสมควรเพื่อให้สมาชิก ผู้ประสงค์จะขอแปรญัตติได้ทราบระยะเวลาที่แน่นอนในการยื่นขอแปรญัตติ อันเป็นสิทธิในการทำหน้าที่ ของสมาชิกรัฐสภาภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ การนับระยะเวลาในการแปรญัตติ ย่อมไม่อาจนับเวลาย้อนหลังได้ แต่ต้องนับตั้งแต่วันที่ที่ประชุมมีมติเป็นต้นไป การเริ่มนับระยะเวลาย้อนหลังไปจนทำให้ เหลือระยะเวลาขอแปรญัตติเพียง 1 วัน เป็นการดำเนินการที่ขัดต่อข้อบังคับการประชุมและไม่เป็นกลาง จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
4.ส่วนประเด็นสุดท้ายที่กล่าวหานายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ได้จัดให้มีการลงมติในวาระที่ 3 นั้น เห็นว่าไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่กำหนดให้รัฐสภาหยุดการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว เพราะเหตุมีผู้ทักท้วงและเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาโดยไม่มีมาตรการให้ระงับการพิจารณาไว้ชั่วคราว จึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ส่อว่าจงใจกระทำการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายแต่อย่างใด ข้อกล่าวหาในส่วนนี้ไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหานี้ตกไป
"การกระทำและพฤติการณ์ของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา จึงมีมูลความผิดฐานส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 3 มาตรา 125 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 291 อันเป็นมูลเหตุให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 270 และมาตรา 274 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 56 มาตรา 58 มาตรา 61 และมาตรา 62" นายวิชา กล่าว
นายวิชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าข้อกล่าวหาที่ประธานวุฒิสภาส่งมาที่เกี่ยวข้องกับ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นเรื่องสำคัญและได้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว จึงให้แยกทำรายงานเฉพาะข้อกล่าวหาดังกล่าว ส่งไปให้วุฒิสภาพิจารณาก่อน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 272 ประกอบมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 และให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่งรายงาน และเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อดำเนินการตามมาตรา 273 และมาตรา 274 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
"สำหรับในส่วนของการดำเนินคดีอาญาขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริง ผลเป็นประการใดจะแถลงให้ทราบอีกครั้ง" นายวิชา กล่าว
