ตอบโจทย์ปัญหา "สภาสูง" ควรมีหรือไม่ ? ในสังคมไทย
“…วุฒิสภาคือสิ่งที่ควรต้องคิดว่าควรมีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่แล้วทำหน้าที่ไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่อยากทำหน้าที่ หรือเพราะอยู่ภายใต้อาณัติของพรรคการเมืองที่เขาพยายามควบคุมการถอดถอน หากเป็นอย่างนั้น ผมขอท้าให้ยุบวุฒิสภาทิ้ง ไม่ต้องมี ถ้าทำหน้าที่แค่กลั่นกรองกฎหมาย ถ้ามั่นใจว่าสภาผู้แทนราษฎรดีอยู่แล้ว ก็ใช้สภาเดียวไปเลย ออกกฎหมายใช้เลย…”

เป็นปัญหาที่ถูกสังคมกังขามาโดยตลอด
สำหรับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบกฎหมายจากฝ่ายสภานิติบัญญัติของบรรดาสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่ถูกตั้งคำถามว่า ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตาม “มาตรฐาน” ที่คนในสังคม “หวัง” กันหรือไม่
หรือ “สภาสูง” จะเป็นเพียง “สภาผัว – เมีย” อย่างที่ใครหลายคนเขาว่าถึงกัน ?
และเสียงดังกล่าวดังขึ้นอีกครั้ง ภายหลังการเลือกตั้ง ส.ว.ชุดใหม่ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2557 ที่ผ่านมา เมื่อปัจจุบันสถานการณ์การเมืองกำลังสุกงอม และสุ่มเสี่ยงมีความรุนแรงได้ทุกเมื่อ ขณะที่ ส.ว. มีอำนาจอย่างล้นมืออยู่ในขณะนี้ เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบลงไปนานหลายเดือนแล้ว
“วุฒิสภาคือสิ่งที่ควรต้องคิดว่าควรมีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่แล้วทำหน้าที่ไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่อยากทำหน้าที่ หรือเพราะอยู่ภายใต้อาณัติของพรรคการเมืองที่เขาพยายามควบคุมการถอดถอน หากเป็นอย่างนั้น ผมขอท้าให้ยุบวุฒิสภาทิ้ง ไม่ต้องมี ถ้าทำหน้าที่แค่กลั่นกรองกฎหมาย ถ้ามั่นใจว่าสภาผู้แทนราษฎรดีอยู่แล้ว ก็ใช้สภาเดียวไปเลย ออกกฎหมายใช้เลย”
เป็นคำยืนยันจากปากของ “สมชาย แสวงการ” ส.ว.สรรหา ที่กล่าวผ่านงานเสวนา “ปอกเปลือกสภาสูง : เกมอำนาจ การตรวจสอบและผลประโยชน์” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2557 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยภายในงานเสวนาดังกล่าว นอกจากนายสมชายแล้ว ยังมี “เกชา ศักดิ์สมบูรณ์” อดีตส.ว.ราชบุรี และ “ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว” หัวหน้าศูนย์วิจัยข้อมูลการเมืองไทย ที่ช่วยกันชำแหละเบื้องลึกเบื้องหลัง ส.ว. กันอย่างถึงพริกถึงขิงอีกด้วย
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ขอนำรายละเอียดในงานเสวนาดังกล่าวมานำเสนอ ดังนี้
@คิดว่า “สภาร่างทรง – สภาทายาท – สภาแฟมิลี่” จะเป็นแบบนั้นอีกหรือไม่ ?
สมชาย : “ส.ว.ชุดใหม่นั้น มีหนังสือพิมพ์บางฉบับ ระบุว่า มีส.ว.ฝ่ายรัฐบาล 40 คน ส.ว.ฝ่ายค้าน 16 คน และส.ว.อิสระ 21 คน อย่างไรก็ดีตนมีความคิดเห็นต่าง เพราะถ้าเป็นอย่างที่ว่า แสดงว่าไม่มีส.ว.เป็นกลางหรือ โอเค ส.ว.อิสระอาจเป็นกลาง แต่ถ้าดูให้ดีอาจจะเอนเอียงไปทางรัฐบาล ดังนั้นหมายความว่า ส.ว. 37 คนบวกกับอีก 10 กว่าคน และบวกจาก ส.ว.สรรหา ที่เอนเอียงไปทางรัฐบาลบางส่วน จะทำให้โอกาสถอดถอนฝ่ายการเมืองมีน้อยมาก”
@สายเลือกตั้งที่เป็นกลางจะมีมาก – น้อยแค่ไหน ?
สมชาย : “ต้องวิเคราะห์ให้ดี ทั้งนี้ตนอาจจะตรวจสอบไม่ชัดเจนว่า ส.ว.อิสระ มีจริงหรือไม่ เพราะเหตุผลกระบวนการได้มาของ ส.ว. ในปัจจุบันในการเลือกตั้งหวังจะได้ ส.ว.จังหวัดละคนมีเวลาจำกัดเพียง 30 วัน ดังนั้นจึงมีการใช้ฐานคะแนนเสียงจากพรรคการเมือง”
“แต่ผมไม่โทษท่านเหล่านี้ เพราะเขาต้องวิ่งหาฐานเสียง กลุ่มก้อนคะแนนเสียงจากพรรคการเมือง ถ้าให้ผมขับรถวิ่งหาคะแนนเสียงทั้งจังหวัด คงจะได้สัก 3,000 คะแนนละมั้ง”
@มีข้อครหาในการแก้ไขที่มารัฐธรรมนูญ ในเรื่องที่มาของ ส.ว. โดยมี ส.ว. ลงชื่อเกือบ 50 คน ซึ่งส่วนมากเป็น ส.ว.เลือกตั้ง มีคำอธิบายอะไรไหม เพราะว่าคนที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือ พรรครัฐบาล
เกชา : “ประเด็นดังกล่าวต้องมองว่าการเว้นวรรคของ ส.ว. ถือว่าชัดเจน เป็นได้แค่ 1 วาระ และเมื่อเป็นแล้ว ปรากฏว่ามี ส.ว.สรรหา ในครั้งแรกที่เป็น 3 ปี ให้ลงสมัครสรรหาต่อได้โดยไม่ต้องการเว้นวรรรค จึงเป็นที่มาว่า ส.ว.สรรหา เป็น 3 ปี และลงสมัครต่อเป็น 6 ปีได้ แต่ถ้า ส.ว.เลือกตั้ง เป็น 6 ปีแล้วจะเป็นต่อได้อีก 6 ปีได้หรือไม่ ก็เลยเกิดแนวคิดการแก้รัฐธรรมนูญ”
“แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ลงชื่อแก้ เพราะรู้สิทธิ์ตัวเองว่าต้องเว้นวรรค จึงไม่ได้ลงชื่อไป และไม่ได้โหวตในวาระ 1 และวาระ 3 แต่โหวตรายมาตราที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ดังนั้นถ้าแก้แล้วประเด็นที่จำเป็น อย่างเรื่องการตัดสมาชิกพรรคออก 5 ปี เรื่องนี้ก็จำเป็น”
@ลักษณะความเชื่อมโยงของการทำงานระหว่าง “สภาสูง” กับ “สภาล่าง” มีผลอย่างไรต่อความอิสระของการทำงานของ ส.ว.
ดร.อรรถสิทธิ์ : “ต้องมองเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเป็นหลัก หากต้องการให้ ส.ว. เป็นกลาง ปลอดจากการเมือง บางทีต้องมองว่าไม่ใช่ทุกคนทุกส่วนของภาคสังคมจะมี ส.ส. เป็นของตัวเอง บางทีคนกลุ่มน้อยก็อาจจะมีคะแนนเสียงไม่พอที่จะมีผู้แทนได้ ส่วนหนึ่งตนคิดว่าเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญที่ว่า ส่วนหนึ่งมาจากการสรรหาก็เพื่อคนบางส่วนบางพวก อาจจะเป็นคนกลุ่มน้อยที่ไม่สามารถชนะการเลือกตั้งจะมีผู้แทนของตน แม้ว่าจะไม่สามารถต่อสู้ในสภาผู้แทนฯ แต่ก็ให้คนที่เป็นตัวแทนมาช่วยกรองต่อในวุฒิสภา จึงสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมต้องมี ส.ว.สรรหา”
“ต้องยอมรับว่าคนส่วนน้อย หรือในทางเลือกตั้ง คือ “คนแพ้” ก่อนเลือกตั้งนั้น ทุกคนเท่ากัน แต่พอการเลือกตั้งจบจะมีแค่ “ผู้ชนะ” กับ “ผู้แพ้” ซึ่งทางด้านนโยบายคนแพ้ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย แต่อย่างน้อยถ้ามี ส.ว. ที่เป็นตัวแทนจากพรรคการเมืองก็สามารถต่อสู้ตรงนั้นได้ กับโจทย์ที่รัฐธรรมนูญว่าอยากให้เป็นกลาง และปลอดการเมือง ผ่านมา 2 ครั้ง ก็คงพบแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ อย่างหนึ่งคือพฤติกรรมการเมืองของคนไทยไม่ได้เลือก ส.ว. ให้ปลอดการเมือง”
สมชาย : “อยู่ที่การกระทำ ต่อให้ไม่มีสังกัดพรรค ก็สามารถสังกัดพรรคโดยพฤตินัยได้ ปัจจุบันหากมองฐานของคะแนนในระยะสั้นของ ส.ว.บางท่านก็อาศัยจากพรรคการเมืองใหญ่ การอาศัยฐานคะแนน ส.ว. เองจะประพฤติอย่างไร ก็ต้องพิสูจน์กันในอนาคต เพราะว่าจะมีคะแนนอีกฝั่งอยู่ในจังหวัดด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่การทำงาน สังคมจึงควรจับตา และมีการเปิดเผยให้เห็นคะแนน ส่วนการเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 บอกว่าให้เว้นวรรค 1 ปี แต่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ระบุว่า ป้องกันความเป็นเครือญาติ ดังนั้นต้องเว้นวรรค 5 ปี จึงทำให้พรรคการเมืองปรับตัวไม่ทัน”
“แต่ในปี 2557 เขาปรับตัวกันทันแล้ว มีทั้ง 2 กลุ่มเลย คือเอาคนมารอไว้แบบไม่ต้องลง ส.ส. มารอลง ส.ว. แทน กับอีกกลุ่มที่โดนยุบพรรคการเมืองไป ความโยงใยผมยืนยันว่าทำได้”
@การเมืองจะแทรกแซงการทำหน้าของวุฒิสภาด้วยวิธีใดได้บ้าง
เกชา : “ต้องมองว่าระบบการเมืองไทยมีที่มาโดยอาศัยฐานคะแนนส่วนหนึ่งจากระบบพรรคพวก ระบบอุมถัมภ์ มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิด มีส่วนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน รวมถึงการฝากฝัง เป็นระบบสภาสูง หรือ “สภาร่างทรง” เพียงแต่ว่าจะเป็นแค่ไหน มีผลไหมกับการที่จะล็อบบี้จนส่งผลต่อความเสียหายอย่างไร เหมือนเป็นธรรมเนียมของวัฒนธรรมอุปถัมภ์”
@การต่อรองกันของฝ่ายการเมืองกับ ส.ว. มาในรูปแบบใดบ้าง
สมชาย : “ถามว่าทำไมวุฒิสภาต้องยุ่งกับการเมือง ประการแรก คือ ส.ว.สรรหา ก็มีที่มาของตัวเอง เพราะฉะนั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายคนเวลาร่างกฎหมายมหาวิทยาลัยก็ต้องผ่านข้อมูล ส.ว.สรรหา ที่มาจากมหาวิทยาลัย ดังนั้นคิดว่าระบบนี้ถูก แบบเดียวกันถ้าจังหวัดเขาเลือกคนของเขาเข้ามา เขาก็มีสิทธิ์ที่จะบอก ส.ว. ของเขาว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จากที่ปรากฏชัดเจนใน “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ประชาชนทั้งประเทศไม่เอาด้วย และส.ว. 131 คนก็โหวตไปในทางเดียวกันหมด”
“อยากให้ทำอย่างนี้เป็นประจำ จริงอยู่อาจจะมีฐานเสียงจากพรรคการเมืองใหญ่ในพื้นที่ แต่เชื่อว่าก็ยังมีฐานเสียงของพรรคอื่นอยู่ด้วย เวลาเขาขอมาก็ต้องชั่งใจว่าเป็นความต้องการของพรรค หรือความต้องการของประชาชน ถ้าเป็นของประชาชนคิดว่าทำได้ ส่วนการ “ล็อบบี้” เป็นเรื่องปกติของการเลือกปฏิบัติ เพราะการตัดสินใจอยู่ที่ตัว ส.ว. เอง ตราบใดที่วุฒิสภายังอยู่ ยังต้องยุ่งกับเรื่องถอดถอน แต่งตั้งบุคคล กรั่นกรองกฎหมาย ก็ต้องมีเรื่องมา “ล็อบบี้” อยู่ดี แต่สุดท้ายก็อยู่ที่เรา”
“ผมยังยืนยัน 2 เรื่อง 1.ผมเห็นด้วยกับ ดร.อรรถสิทธิ์ ที่ว่าต้องเปิดเผยข้อมูล ผมอ่านการโหวตเกือบทุกครั้ง ผมรู้ว่าใครโหวตอย่างไร มันได้ส่อว่าเขาคิดอะไร หรือทำอะไร และ 2.การปฏิรูปการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะทุกคนเรียกร้อง ซึ่งจริง ๆ คือสิ่งที่ควรปฏิรูปจริง ๆ เพราะมันตกต่ำจริง”
“วุฒิสภาคือสิ่งที่ควรต้องคิดว่าควรมีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่แล้วทำหน้าที่ไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่อยากทำหน้าที่ หรือเพราะอยู่ภายใต้อาณัติของพรรคการเมืองที่เขาพยายามควบคุมการถอดถอน ผมขอท้าให้ยุบวุฒิสภาทิ้ง ไม่ต้องมี ถ้าทำหน้าที่แค่กลั่นกรองกฎหมาย ถ้ามั่นใจว่าสภาผู้แทนราษฎรดีอยู่แล้ว ก็ใช้สภาเดียวไปเลย ออกกฎหมายใช้เลย สำคัญที่ต้องคิดในเรื่องนี้”
เกชา : “มีความจำเป็นที่ต้องมีวุฒิสภาด้วยระบบที่เป็นแบบนี้ การเลือกตั้งบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ หรือยังก็ยังบอกไม่ได้ เราจึงต้องมีสภาสูงไว้กลั่นกรอง ยกตัวอย่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ้ามีสภาเดียวคงแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว และการเข้าสู่ตำแหน่ง ส.ส. อายุเพียง 25 ปี ซึ่งสามารถเป็นลูก หลาน หรือบุคคลที่อยู่ในวงศ์ตระกูลของนักการเมือง เข้าดำรงตำแหน่งทีละ 2 – 3 คน ถูกตัดสิทธิ์ก็ลุกมาเป็นแทน ถ้าเราไม่มีสภาสูง เรื่องเหล่านี้ก็จะเกิดความเสียหายกับบ้านเมือง เพราะไม่มีการกลั่นกรอง”
“ต้องแก้ที่ตัวเลข เพราะการถอดถอนต้องใช้คะแนนถึง 3 ใน 5 ซึ่งมากเกินไป ดังนั้นเราก็ต้องลดลงมากึ่งหนึ่ง 75 ต่อ 75 เพราะตัวเลขไม่ทำให้นักการเมืองเกรงกลัวต่อการถอดถอน แต่กลับเกรงกลัวต่อกฎหมายอาญามากกว่า”
อรรถสิทธิ์ : “มองว่าการแก้ในส่วนของฝ่ายวุฒิสภา สามารถแก้ได้ แต่ก็อาจเกิดเหตุการณ์อย่างที่คุณสมชายกล่าว เขาก็ยังทำคะแนนโหวตไม่ให้ถึงได้ ทำให้ได้สัก 73 – 74 ก็ได้ แต่คือสิ่งที่อยากพูดคือ ประชาชนยังมองวุฒิสภาอีกแบบหนึ่ง เพราะประชาชนไม่เข้าใจว่ามีวุฒิสภาไว้เพื่ออะไร ขณะเดียวกันวุฒิสภาไม่ค่อยได้บอกกับสังคมว่าหน้าที่สำคัญของตนนั้นคืออะไร การเปลี่ยนคะแนน 3 ใน 5 เป็น 1 ใน 2 ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าข้อมูลที่บอกประชาชนนั้นบอกไม่ได้เลย”
“เราตั้งคำถามกับตัว ส.ว. ไม่ได้เลย ส.ว.สรรหา ถูกมองเป็นเสียงส่วนน้อย แต่ ส.ว.เลือกตั้ง เลือกไปแล้วได้แค่สมัยเดียว จึงทำงานแบบไม่ต้องเห็นหัวประชาชนก็ได้ ในเมื่อไม่ต้องทำตัวดีเพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งในสมัยต่อไป ก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจ แต่คนที่สนคือเป็นครอบครัวนักการเมืองที่มีเครือญาติที่ยังเป็น ส.ส. อยู่ แต่ถามว่าความรับผิดชอบต่อประชาชนหลังจากเลือกตั้ง ส.ส. แทบจะไม่มีเลย และถอดถอนแทบจะไม่ได้เลย”
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก google
