"ส.ศิวรักษ์" วิพากษ์ “ประชาธิปไตย” ใต้เปลือก "พันธมิตรฯ-นปช.-กปปส."
"..ผมว่าผู้นำมวลชนเหล่านี้ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยพอ มันมีความเป็นพรรคคอมมิวนิสต์นะครับ ถ้าคุณเน้นเรื่องประชาธิปไตยคุณต้องผ่านการแต่งตั้งจากประชาชน คุณตู่ ( จตุพร พรหมพันธุ์ ) มาเพราะคุณทักษิณสั่งใช่หรือเปล่า กล้าเปิดเผยไหม คุณสุเทพ ( เทือกสุบรรณ ) ล่ะ จะเป็นเลขาธิการ กปปส. ตลอดไปเลยใช่ไหม.."

ก่อนการชุมนุมใหญ่ระหว่างมวลชน 2 ฝ่าย จะเริ่มขึ้นในวันที่ 5 เมษายน 2557 นี้
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จับเข่าคุยกับ ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม อดีตบรรณาธิการสังคมศาสตร์ปริทัศน์และเป็นผู้ที่แกนนำภาคประชาชนจากหลากหลายสำนักคิดให้ความเคารพนับถือ ไม่ว่า นายพิภพ ธงไชย ( อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ) , นางธิดา ถาวรเศรษฐ (อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ-นปช.) , นพ.เหวง โตจิราการ หนึ่งในแกนนำ นปช. และนายนิติธร ล้ำเหลือ ( ที่ปรึกษาเครือข่ายนักศึกษาปฏิรูปประเทศไทย-คปท.)
เพื่อค้นหาความจริงบางประการ เกี่ยวกับ "ปัจจัย" "เงื่อนไข" การชุมนุมของมวลชนกลุ่มต่างๆ และสรุปบทเรียนความสำเร็จ ความพ่ายแพ้ และคุณูปการของการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
นับแต่ยุคของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุค นปช. และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.)
โดย ส.ศิวรักษ์ วิพากษ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา
ขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามกับแต่ละกลุ่มว่าแท้จริงแล้วการเคลื่อนไหวบนท้องถนนที่ดำเนินอยู่ขณะนี้ บรรดาผู้นำของแต่ละกลุ่ม มีแนวทางแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง มากน้อยเพียงใด
@ การเคลื่อนไหวทางการเมืองนับแต่ยุคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ในเริ่มแรกมีแนวร่วมเป็นกลุ่มภาคประชาสังคม อาทิ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.), เครือข่ายสลัม 4 ภาค และแนวร่วมกลุ่มอื่นๆ ก่อนที่จะมีความเห็นต่างเกี่ยวกับประเด็นการดึงสถาบันฯ มาขับเคลื่อนและหลายฝ่ายเจ็บช้ำทางอุดมการณ์เมื่อเกิดรัฐประหาร 2549 ทุกวันนี้ ประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองที่ถูกนำมาขับเคลื่อน ทำให้การเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมถูกลดบทบาทลงหรือไม่
ตอบ : การที่มวลชนหลายฝ่ายเคลื่อนไหวอยู่ในตอนนี้ ผมถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี อย่างคนเสื้อแดง รวมๆ แล้ว เขาไม่ยอมรับพวกอำมาตย์ ซึ่งผมว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่เขาแสดงออกมาว่าไม่ยอมรับพวกอำมาตย์ แม้ผู้นำหลายคนจะอยู่ใต้ฉายาของทักษิณ แต่มวลชนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของทักษิณไปเสียทั้งหมด เพียงแต่เขาคงเห็นว่าอย่างน้อยช่วงนี้ ทักษิณยังเอื้ออาทรเขาได้ เกื้อกูลเขาได้ เขาก็จึงยังไม่ปฏิเสธทักษิณเสียทีเดียว"
"แต่สำหรับคนที่กล้าหาญพอ เขาก็จะปฎิเสธทักษิณ ผมว่าเหล่านี้ คือนิมิตรหมายที่ดี เพราะประชาธิปไตยต้องมีความหลากหลายแบบนี้”
“ส่วน กปปส. ก็เช่นเดียวกัน มีทั้งพวกของคุณสุเทพ ( เทือกกสุบรรณ) พวกหนึ่ง มีพวกคุณนกเขา ( นิติธร ล้ำเหลือ ) พวกหนึ่ง มีสมณะโพธิรักษ์ ( สันติอโศก-กองทัพธรรม ) พวกหนึ่ง กลุ่มเหล่านี้ แม้จะมีจุดหมายร่วมกันในแง่ต่อต้านทักษิณ และมีจุดหมายร่วมกันคือเชิดชูสถาบันฯ แต่ต่างฝ่ายก็มีความแตกต่างและมีความเป็นอิสระ”
@ เชื่อมั่นว่าการชุมนุมเหล่านี้ สะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตย แม้จะเห็นต่างและขัดแย้งกันทางความคิดอย่างรุนแรง?
ตอบ : "การมีมวลชนเช่นนี้ เป็นของดี โดยเฉพาะเมื่อรัฐสภาไม่ทำงานและรัฐสภาส่วนใหญ่คือผู้ที่สยบยอมต่อทักษิณ ไม่มีจริยธรรม ไม่มีสามัญสำนึก ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง แม้แต่การลงคะแนนเสียงก็ปลอม ทำได้สารพัด บัดสีบัดเถลิง"
"แต่ขณะเดียวกัน ผู้นำมวลชนที่เคลื่อนไหวอยู่ก็ต้องไม่แสดงความบัดสีบัดเถลิงเช่นเดียวกับคนในรัฐสภา"
"โดยเฉพาะเมื่อมวลมหา ประชาชนทุกวันนี้ ออกไปไหนก็รับเงินรับทองมากมาย ผมเห็นว่าบัญชีควรจะต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยจะเสียชื่อหมด แม้แต่ในวงการพระหากผิดเงินแม้เพียงบาทเดียว ถือว่าเป็นปาราชิก หมดความเป็นพระเลย ดังนั้น ทุกกอย่างต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้"
@ มองบทบาทของผู้นำ กปปส. และ นปช. อย่างไร
ตอบ : “ประการแรก ที่แล้วๆ มา ผมว่าผู้นำมวลชนเหล่านี้ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยพอ มันมีความเป็นพรรคคอมมิวนิสต์นะครับ เพราะใครแต่งตั้งคุณสุเทพขึ้นมา หรือการเปลี่ยนคุณธิดามาเป็นคุณตู่ ( นายจตุพร พรหมพันธุ์ ) ใครแต่งตั้งคุณ"
"คุณผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนขึ้นมาหรือเปล่า ถ้าคุณเน้นเรื่องประชาธิปไตย คุณต้องผ่านการแต่งตั้งจากประชาชน คุณตู่มาเพราะคุณทักษิณสั่งใช่หรือเปล่า กล้าเปิดเผยไหม"
"คุณสุเทพล่ะ จะเป็นเลขาธิการ กปปส. ตลอดไปเลยใช่ไหม หรือจนกว่าจะขจัดคุณทักษิณไปแล้ว"
"แม้จะอ้างว่าไม่เล่นการเมืองอีกต่อไป และให้เขาไม่เล่นการเมืองต่อไป แต่ผมว่าที่มาของผู้นำเหล่านี้ไม่มีจิตสำนึกของความเป็นประชาธิปไตย"
“ประการที่ 2 การให้คนมาเป่านกหวีด มีมือตบก็สนุกดี แต่นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตยนะครับ เป็นแค่เกมการเมือง เล่นกันสนุกๆ"
"แต่ประชาธิปไตยคือการเปิดโอกาสให้คนที่มาฟังคุณ เขาถกเถียง โต้แย้งได้ ถ้ากลุ่มใหญ่ไปก็แบ่งกลุ่มไป เป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างทั่วถึง แต่นี่ไม่มีเลย รวบหัวรวบหาง อยู่แค่ไม่กี่คน นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะเตือนทั้งสองฝ่าย ( กปปส.- นปปช. ) เพราะ นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี"
“และประชาธิปไตยต้องเริ่มจากการอภิปราย โต้แย้ง และการพูดอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งการพูดอย่างตรงไปตรงมานั้น ต้องหลีกเลี่ยงเการไม่ใช้ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความเกลียดชัง"
"คุณจะใช้คำไม่สุภาพก็ได้ แต่คำนั้นต้องเป็นคำจริง เป็นสัมมาวาจา และต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแย้งเราได้ แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับเราก็ได้ แต่ต้องเปิดโอกาสให้เขา นี่คือวิถีของประชาธิปไตย"
“ตอนนี้ แต่ละฝ่ายก็มีช่องของตัวเอง เช่น บลูสกาย วอยซ์ ทีวี ถ้าผู้นำทั้งสองฝ่าย ใจกว้าง ผู้นำ กปปส. ควรจะบอกว่า ผู้อุดหนุน กปปส. ควรจะดูวอยส์ทีวี บ้าง และผู้อุดหนุน วอยส์ ทีวี ก็ควรจะดู กปปส. บ้าง ผมว่าถ้าทำได้เช่นนี้ จะแสดงถึง วิถีทางประชาธิปไตยคือความใจกว้าง"
@ มีมุมมองอย่างไร ต่อการชุมนุมในยุคแรกเริ่มของกลุ่มพันธมิตรฯ
ตอบ : “ตอนพันธมิตรฯ นั้น มีการตกลงกันชัดเจนว่าแกนนำทั้ง 5 คน ( นายสนธิ ลิ้มทองกุล, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายพิภพ ธงไชย, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ) ต้องตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ การชุมนุมตอนนั้น เขานำเอาการปกครองแบบคณะสงฆ์เข้ามา คือคณะสงฆ์อย่างน้อยต้องมี 4 แต่ พันธมิตรฯ เขามี 5 นี่คือนิมิตรหมายที่ดี แต่ใน กปปส. ผมไม่รู้เลยว่าคณะกรรมการมีใครบ้าง รู้จักแต่เลขาธิการคนเดียว แล้วมติต่างๆ ตัดสินกันอย่างไร เป็นเอกฉันท์หรือไม่ โปร่งใสหรือไม่ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ตัดสินอะไรต้องให้ประชาชนรู้ การงุบงิบหลังฉากมันไม่ใช่ประชาธิปไตย อันตรายมาก มันเป็นอภิชนาธิปไตย แต่ เพื่อความเป็นธรรมกับเขา นะ พันธมิตรฯ ตอนนี้เขาก็ประกาศ ยุติบทบาทไปแล้ว
"คุณสนธิ เขาก็กลัวมาก ด้วยเหตุผลอะไรผมไม่ทราบ ส่วนพิภพก็ลดบทบาท ขณะที่สุริยะใสก็ เข้าได้กับทั้ง สองฝ่ายคือทั้งพิภพและสุเทพ"
@ ทั้งพันธมิตร และ กปปส. แม้มีจุดร่วมที่คล้ายกันคือ ต่อต้านทักษิณ แต่ยังมีความแตกต่างเชิงโครงสร้างอีกหลายประการ วิเคราะห์ความแตกต่างของพันธมิตรฯ กับ กปปส. อย่างไร
ตอบ : “ผมยังมองไม่เห็นว่า กปปส. มีทีท่าเป็นประชาธิปไตยมากขนาดไหน แต่ตอนนี้ มวลชน กปปส. ส่วนใหญ่ก็เห็นดีเห็นงามกับสุเทพ และส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่หวังอยากให้เอาชนะทักษิณได้ แต่เขามองไม่เห็นเลย ว่าถ้าเอาชนะทักษิณได้แล้ว กลุ่มทุนหรือบริษัทที่ใหญ่กว่าทักษิณล่ะ เศรษฐีที่ซื้อที่เชียงใหม่ไว้เยอะแยะ หรือที่ซื้อที่ในกรุงเทพไว้เยอะแยะ เขาจะพูดหรือเปล่า? คนที่ใหญ่กว่าทักษิณ คุณจะไม่แตะเลยใช่ไหมครับ แล้วความกล้าหาญมากกว่านี้จะอยู่ตรงไหน"
"ส่วนประเด็นพลังงานก็สำคัญ มวลมหาประชาชน ไม่เคยแตะเลย อย่างน้อยก็ควรจะเชิญคนที่เขาแน่กว่า เชิญคนที่เขาต่อสู้เรื่องพลังงาน ตอสู้เรื่องข้าวมาร่วมสิครับ คุณก็น่าจะเชิญเขามาพูดให้มวลมหาประชาชนฟัง หรือเชิญผู้ที่มีความแตกฉานในแต่ละเรื่องมาพูดเรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรม"
“และอย่างน้อย พันธมิตรฯ โปร่งใส ตรวจสอบได้ คุณอาจไม่ชอบบู๊ลิ้ม ( สนธิ ลิ้มทองกุล ) จำลอง ( จำลอง ศรีเมือง ) พิภพ ( พิภพ ธงไชย ) แต่คุณตรวจสอบได้ แต่คุณสุเทพนี่ ไม่เปิดเผยว่าใครบ้างให้การอุดหนุนเขา ใครสนับสนุนเขา อันนี้ สำคัญมากนะครับ ต้องโปร่งใส ต้องตรวจสอบได้ ไม่เช่นนั้น ก็จะลือกันไปต่างๆ นานาๆ สร้างความเสียหาย"
@ มองบทบาทแนวร่วมกลุ่มอื่นๆ ของ กปปส. อย่างไร
ตอบ : "ถ้าเปรียบ กปปส. เป็นพรรคการเมือง การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ก็ไม่ใช่พรรคเดียว ยังมีสมณโพธิรักษ์ มีความชาตินิยมบางอย่าง แต่ก็มีศาสนธรรม จริยธรรม บางอย่างมาเกี่ยวข้อง ส่วนนกเขา ( นิติธร ล้ำเหลือ ) เขาทำตัวให้เล็กกว่าสุเทพ แต่ผมว่าเขามีจุดยืนบางอย่าง ที่เขาไม่พยายามสร้างตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำมวลชนอย่างคุณสุเทพ นี่คือความแตกต่างของ กปปส."
"ส่วนที่พุทธอิสระทำ อย่างน้อยก็สามารถนำมวลชนไปกดดันอัยการให้กระตือรือร้นมากขึ้น และทำให้ ข้าราชการกระตือรือร้นขึ้น ไม่ทำงานเช้าชามเย็นชาม ที่พุทธะอิสระไปเร่งก็ได้ผลดี แต่จะได้ผลระยะยาวหรือไม่นั้น ผมไม่แน่ใจว่าสงฆ์จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ผมยังตั้งคำถาม"
@ คิดว่า รัฐประหารปี พ.ศ. 2549 เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดของพันธมิตรฯ และแนวร่วมภาคประชาสังคมในครั้งนั้นหรือไม่
ตอบ : “การรัฐประหารในครั้งนั้น ไม่ใช่ความล้มเหลวของพันธมิตรฯ นะครับ ความจริงก็คือถ้าพันธมิตรฯ เดินหน้าต่อไป ทักษิณจะหลุดไปจากพลังของมวลชนเลย แต่คนที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลังกองทัพไม่ไว้ใจพลังประชาชน ไม่ไว้ใจสนธิ ไม่ไว้ใจจำลอง จึงได้ชิงรัฐประหาร การทำรัฐประหารครั้งนั้นเป็นความผิดพลาด เป็นความล้มเหลวทั้งหมด คณะรัฐประหารไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แสดงถึงความผิดพลาดและล้มเหลว และแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหรือฝ่ายที่อยู่ฝ่ายรัฐประหาร ไม่ไว้ใจประชาชน"
"หากเขาไว้ใจประชาชน การต่อสู้ ของพันธมิตรฯ ในครั้งนั้น จะขับไล่ทักษิณออกไปได้อย่างสันติวิธีที่สุด นี่เป็นบทเรียนและเป็นความเจ็บปวดที่ต้องตราไว้ เราให้อภัยได้ แต่ต้องไม่ลืมความเจ็บปวดนี้ แต่สังคมไทยเราลืมง่ายเกินไป”
@ มีความเห็นอย่างไร ต่อประเด็นปฏิรูปของเวที กปปส.
ตอบ : "การปฏิรูปของ กปปส. ผมมองว่า ของเล่นครับ"
"คุณสุเทพ ทำงานนี้มา 3 เดือนแล้ว ทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก ทำไมไม่พูดถึงแก่นอย่างการปฏิรูปที่ดิน และทำไมไม่พูดถึงการแก้ไขโครงสร้างความอยุติธธรรมของระบบข้าราชการ ทำไมไม่พูดถึงตุลาการภิวัฒน์ คือตุลาการนั้นมีหลายอย่างดี แต่ตุลาการภิวัฒน์ นั้นผิดหรือเปล่า ทำไมคุณไม่ปฏิรูปประเด็นหลัก ประเด็นตุลาการภิวัฒน์ ให้คุณ-ให้โทษ อย่างไร โปร่งใสแค่ไหน แม่นยำกฎหมายขนาดไหน ยึดโยงกับประชาชนแค่ไหน”
@ แกนนำ นปช. อย่างจตุพร พรมพันธุ์ หรือณัฐวุฒิ ไสยเกื้อก็ขับเคลื่อนประเด็นตุลาการภิวัฒน์ นั่นถือเป็นการวิพากษ์ตุลาการภิวัฒน์ในความหมายเดียวกับที่พูดถึงหรือไม่
ตอบ : "ต้องดูว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นแค่วาทกรรมหรือเปล่า สิ่งที่เขาพูดมีสาระหรือไม่มีสาระ"
@ หากกลุ่มคนเสื้อแดงมีหลายกลุ่มเช่นที่คุณพูด คือ มีฝ่ายอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่จำต้องร่วมกับคุณทักษิณ กับฝ่ายที่นิยมคุณทักษิณโดยเฉพาะ คุณคิดว่าถึงที่สุด ฝ่ายอุดมการณ์ประชาธิปไตยจะกลายเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนได้หรือไม่
ตอบ : "ผมยังเชื่อความบริสุทธิ์ของธิดาและเหวง หลายคนโดนข่าวลือว่ารับเงินมา แต่คนที่มาเองโดยไม่ได้ รับเงิน ก็มีไม่ใช่น้อยแต่ฝ่าย กปปส. เขาเชื่อว่า มีคนรับเงินมา แต่ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองฝ่ายนี้ สิ่งที่เหมือนกัน คือ แกนนำไม่ได้เกิดจากการที่ประชาชนเลือกตั้งมา กรณี สุเทพก็ไม่มีการเลือกตั้ง เหล่านี้ไม่เหมือนพันธมิตรฯ ที่อย่างน้อย มี แกนนำ 5 คน และทั้ง 5 คนต้อง มีมติเห็นสอดคล้องกัน”
@ ทำอย่างไร กลุ่มภาคประชาชนในฝ่ายต่างๆ ที่เชื่อมั่นในหลักประชาธิปไตย จะหันมาจับมือกันเพื่อตรวจสอบผู้มีอำนาจ โดยก้าวข้ามความเห็นต่างในประเด็นชาตินิยม หรือประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองของที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่หยิบยกขึ้นมา
ตอบ : “คุณต้องไปเข้าหาปราชญ์ ชาวบ้าน ไปหาประชาชนที่มีพื้นภูมิธรรม ไปหาชาวบ้านที่เขา มีคุณธรรมมีภูมิปัญญา ในส่วนนี้เอง แม้แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ไม่มี ทำไม่เต็มที่ เพราะข้อเสียคือในขณะที่คุณเย้วๆ กันอยู่อย่างนี้ คุณไม่มีโอกาสไปเข้าหาชาวบ้านหรอก"
"แต่พันธมิตรฯ มีส่วนดีกว่าตรงที่มีความพยายามขยายไปสู่ต่างจังหวัด แต่ก็ยังไม่ลงไปถึงพื้นภูมิของชาวบ้านจริงๆ เล่าปี่ ต้องไปหาขงเบ้งถึง 3 หน อย่าคิดนะว่าประชาชน ชาวบ้านที่เขาต่อสู่เรื่องเหมืองแร่โปรแตช หรือคุณกระรอก (นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยาของนายเจริญ วัดอักษร ) ที่ต่อสู้เรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น อย่าคิดว่าคนเหล่านี้ ไม่ใช่ขงเบ้ง เพียงแต่เขาไม่ได้อยู่เขาโงวหลังกั๋งเท่านั้นเอง"
"แต่เขามีความรู้ไม่ใช่น้อย คุณต้องไปหา ไปเรียนรู้จากเขา"
“ผมห่วงว่ามวลชนแต่ละฝ่ายอาจจะถูกพาไปทางที่เหลวไหลได้ เพราะยังไม่กล้าหาญเพียงพอที่จะท้าทาย ผู้นำมวลชนเองก็ต้องมีประชาธิปไตยมากกว่านี้ แกนนำเองก็ต้องอ่อนน้อม ถ่อมตน มีเมตตา กรุณามากกว่านี้"
"แต่ผมเชื่อว่าประเทศเราจะก้าวต่อไปได้ เพราะพื้นภูมิธรรมเดิมของเรามีอยู่”
ภาพประกอบจาก www.chaoprayanews.co.th
