สมเกียรติ อ่อนวิมล: "สามชุก" สู่ "อาเซียน"
"..ผมไปกาบัตรไม่เลือกผู้ใดเพราะไม่เห็นผู้สมัครคนใดมีคุณสมบัติถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ - ผมทำเช่นนี้เสมอทุกครั้งที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่จังหวัดสุพรรณบุรี.."

หมายเหตุ: เป็นบทความเรื่อง สามชุก สู่ อาเซียน ที่นายสมเกียรติ อ่อนวิมล นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง นำมาเผยแพร่ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าที่ใช้ชื่อว่า "สมเกียรติ อ่อนวิมล" เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2557
----
วันที่ 30 มีนาคม 2557 วันเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผมเดินทางจากบ้านเมืองทองธานี ปากเกร็ด นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่อาศัยบ้านหลักของครอบครัวมานานเกือบ 25 ปี ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ณ หน่วยเลือกตั้งตำบลปากน้ำ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของผม เพราะมีทะเบียนบ้านอยู่ที่นั่น ผมไปกาบัตรไม่เลือกผู้ใดเพราะไม่เห็นผู้สมัครคนใดมีคุณสมบัติถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ - ผมทำเช่นนี้เสมอทุกครั้งที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่จังหวัดสุพรรณบุรี
การเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ บนถนนสาย 340 ที่นิยมเรียกว่าถนนสาย “บางบัวทอง-สุพรรณบุรี” ก่อนถึงอำเภอเดิมบางนางบวช จะต้องผ่านอำเภอบางปลาม้าเป็นอำเภอแรกติดพรมแดนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา-บางปลาม้าเป็นบ้านเกิดของศิลปินแห่งชาติไวพจน์ เพชรสุพรรณ; ต่อไปอำเภอเมือง อำเภอศรีประจันต์-บ้านเกิดของหลวงพ่อ ป.อ.ปยุตโต, อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของศิลปินแห่งชาติ ขวัญจิต ศรีประจันต์ และบ้านเกิดของนางพิมพ์ในเรื่องขุนช้างขุนแผน; แล้วก็ไปก็ถึงอำเภอสามชุก-บ้านเกิดของศิลปินแห่งชาติ ก้านแก้วสุพรรณ; ต่อไปถึงอำเภอเดิมบางนางบวช-บ้านเกิดของสายัณห์ สัญญา นักร้องลูกทุ่งระดับชาติ; ต่อจากนั้นก็จะเข้าเขตอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท-บ้านเกิดของศิลปินแห่งชาติ ผ่องศรี วรนุช; หากทะลุผ่านชัยนาทไปก็จะไปบรรจบถนนสายเอเชีย เข้าจังหวัดนครสวรรค์ ต่อถึงจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงรายได้
และถ้าหากไม่หยุด อยากจะเดินทางต่อทะลุพรมแดนไทยไป ก็จะถึงด่านท่าขี้เหล็ก ผ่านเข้าประเทศพม่า ก็ไปได้เลย.
ผมแวะนอนบ้านเกิดที่หลังตลาดอำเภอสามชุกหนึ่งคืน ถือเป็นการเยี่ยมญาติ และพักผ่อนหาบรรยายกาศเก่าๆที่เคยคุ้นแต่วัยเด็ก
และที่ตลาดสามชุกนี้เองผมก็ได้พบบรรยากาศใหม่ที่ไม่คุ้นเคย และไม่เคยคิดว่าจะพบ
ที่ริมคลองชลประทานติดกับตลาด พบป้ายบอกทางป้ายหนึ่งตั้งอยู่ เขียนว่า :
“ไป อ.ด่านช้าง อ.หนองหญ้าไซ รพ.สามชุก หนองผักนาก ประตูน้ำสามชุก-คลองขอม ประเทศเวียดนาม-พม่า-จีน”
ลูกศรชี้ทางพุ่งไปทางทิศเหนือ
ที่แปลกน่าสนใจก็คือ ข้อความบอกทางไปต่างประเทศ -โดยสองประเทศเป็นรัฐสมาชิกอาเซียน อีกประเทศหนึ่งคือจีนเป็นประเทศคู่เจรจาของอาเซียน - ผู้ทำป้ายก็คงจะเป็นเทศบาลสามชุก แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ทำป้ายและจะคิดอย่างไรตอนติดตั้งป้ายนี้ก็ตาม ก็เห็นได้ชัดว่าความตื่นตัวเรื่องอาเซียนมาถึงอำเภอสามชุกแล้ว แม้ว่าหากจะเดินทางตามป้ายไปจริงๆก็คงไปไม่ถูกและไม่ถึงเพราะมีอยู่ป้ายเดียว เดินทางต่อไปไกลๆก็จะหลงทางแน่นอนเพราะไม่มีป้ายรับช่วงแนะนำทางต่อไปจนถึงเวียดนาม พม่า หรือจีน
เหมือนกับที่สี่แยกอินโดจีนกลางเมืองพิษณุโลกที่มีป้ายบอกทางไปเวียดนามและมาเลเซีย แต่ก็มีป้ายเดียว ใครจะขับรถเดินทางไปมาเลเซียจริงๆก็จะไม่มีทางหาป้ายบอกทางไปได้
ที่สามชุกก็คล้ายกัน หากใช้เข็มทิศเดินทางไปตามทิศทางลูกศรบนป้ายก็อาจไปถึงพม่า ทะลุพม่าไปจีนได้ เพราะลูกศรชี้ทางไปทิศเหนือ แต่จะไม่มีวันถึงเวียดนาม นอกจากจะมีป้ายอื่นๆกำกับนำทางต่อไป แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือความรู้สึกว่าสามชุกเป็นส่วนหนึ่งอาเซียนมาถึงแล้ว และชาวสามชุกก็คงจะตั้งคำถามหรือเกิดความคิดทุกครั้งที่ผ่านป้ายนี้ว่าสักวันหนึ่งน่าจะลองไปประเทศเหล่านี้ดู ซึ่งก็จริง เพราะวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ผมถ่ายภาพป้ายนี้วันที่ 31 มีนาคม พอถึงวันจันทร์ที่ 1 เมษายน ก็มีครูโรงเรียนประถมศึกษาประจำอำเภอคนหนึ่งออกเดินทางไปเที่ยวเวียดนามพอดี ครูคนที่ว่าคือน้องสาวของผมเอง!
ความรู้สึกร่วมว่าอยู่เป็นประชาคมอาเซียนประชาคมเดียวกันเกิดขึ้นได้ง่ายๆโดยการสื่อสารประชาสัมพันธ์และด้วยการเดินทางท่องเที่ยว ที่อาเซียนเรียกว่า “ASEAN Connectivity” หรือ “การเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน” และการเดินทางท่องเที่ยวในปัจจุบันก็ทำได้สะดวก เพราะถนนสายต่างๆในประเทศไทยมีคุณภาพและจำนวนมากพอที่จะให้เกิดความสะดวกในการเดินทางจากชุมชุนที่ห่างกรุงเทพ 170 กิโลเมตร ไปสู่ประเทศต่างๆในอาเซียนได้ไม่ยาก คุณครูที่ว่าจะเดินทางเที่ยวเมืองเว้ที่เวียดนามก็จะไปโดยทางรถบัสนำคณะครูไปเที่ยวอาเซียน คนสามชุกไม่น้อยที่ผมรู้จักเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ โดยเฉพาะประเทศใกล้เคียงในอาเซียน คนที่มีรายได้ไม่มากเช่นครูก็สามารถไปเที่ยวประเทศในอาเซียนได้เหมือนเที่ยวในประเทศไทยเองเพราะค่าใช้จ่ายปรกติเหมือนเที่ยวในเมืองไทย บ้านไหนที่ฐานะดีก็ไปประเทศไกลๆถึงยุโรปและอเมริกา บ้านที่ร่ำรวยพอก็จะส่งลูกไปเรียนออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกาได้
ในสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นยากนักที่ใครจะได้ “ไปเมืองนอก” ที่โรงเรียนสามชุกช่วงปี 2502-2503 ครั้งที่ผมอยู่มัธยม1-2 (เทียบเท่า ป.5-6 ปัจจุบัน) ครูใหญ่ของผมคนหนึ่งได้ไปอเมริกาตอนท่านเป็นศึกษานิเทศแล้วกลับมาฉายภาพนิ่งให้นักเรียนได้ดูกันจนเป็นแรงดลใจให้ผมอยากอเมริกาเหมือนครูใหญ่บ้าง และก็ได้ไปจริงๆในที่สุด ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในสมัยนั้นจากสามชุกที่ได้ “ไปเรียนเมืองนอก” อันที่จริงทั้งประเทศไทยในยุคนั้นการเดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะไปทำอะไรก็จัดว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษในชีวิตจริงๆ ต้องหาเงินตัดชุดสูท หัดผูกเนคไทด์ แถมมีพิธีการคล้องพวงมาลัยดอกมะลิดอกรักตอนไปส่งที่สนามบินดอนเมือง ขึ้นดาดฟ้าอาคารสนามโบกมือให้เครื่องบินเป็นการอำลาอีกต่างหาก!
กาลผ่านไป 50 ปี ความเป็นสากล หรือความเป็นนานาชาติเข้าสู่ชนบทอย่างช้าๆ
ที่เคยเป็นชนบทก็กลายเป็นเมือง
ที่ไม่รู้จักอาเซียนก็เริ่มรู้จัก อย่างน้อยก็เริ่มเที่ยวไปมาหาสู่กันมากขึ้น
ตลาดสามชุกจึงได้ผลิตพลเมืองชาวตลาดในระดับสากลจำนวนหนึ่ง - เพื่อนผมจำนวนหนึ่งไปเรียนต่อต่างประเทศกลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย; รุ่นน้องคนหนึ่งเป็นนายทหารได้เป็นถึงผู้บัญชากองกำลังทหารไทยในอิรัก; รุ่นพี่ใหญ่ที่อำเภอสองพี่น้องได้ยศพลโทตอนที่เป็นผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก; บางคนไม่ได้เรียนสูงแต่ก็ได้ไปแสดงดนตรีร้องเพลงลูกทุ่งในต่างประเทศโด่งดังระดับชาติก็หลายคน; เรียนจบจากประเทศฟิลิปปินส์กลับมาเป็นนักร้องชื่อก้องประเทศ เอาคำว่า “ควาย” ในภาษาฟิลิปปินส์มาเป็นชื่อวงดนตรีก็มี; พี่สาวลูกน้าผมก็เรียนจบจากฟิลิปปินส์สมัยที่ผมยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ
ตลาดสามชุกปัจจุบันตั้งชื่อเพื่อการเชิญชวนนักท่องเที่ยวว่า “สามชุกตลาดร้อยปี” มีนักท่องเที่ยวชาวไทยจากทั่วประเทศและชาวต่างชาติแวะมาเที่ยวตลาดเก่าบ้านเกิดของผมแห่งนี้กันทุกวัน และจะแน่นตลาดเป็นพิเศษวันเสาร์อาทิตย์ สาวสามชุกบางคนก็แต่งงานกับชาวต่างชาติ มีคนหนึ่งได้สามีเป็นนักข่าววิทยุจากฝรั่งเศสที่ผมคุ้นเคย มีเรื่องอะไรสำคัญนักข่าวฝรั่งเศสคนนี้ก็มักจะโทรคุยกับผมเสมอ ลูกๆของนายกเทศมนตรีเทศบาลสามชุกคนก่อนและคนปัจจุบันก็เรียนจบจากออสเตรเลียและต่างประเทศอื่น ร้านกาแฟแบบเก่าที่เรียกว่า “กาแฟโบราณ” เริ่มมีคู่แข่งเป็นกาแฟ “คอฟฟี่ลาเต้” ฟองฟู่แบบยุโรปแล้ว
นั่งกินกาแฟสดแบบฝรั่งไปใช้ iPad ไป ใช้ WiFi ท่อง internet กลางตลาดสามชุกได้เลย!
ที่ชาวสามชุกภูมิใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็นการได้รับรางวัลยกย่องจากองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ให้เป็นตลาดชุมชนท้องถิ่นมรดกทางวัฒนธรรมสำคัญของโลก
หกสิบปีที่แล้วผมต้องลงเรือใช้เวลา 24 ชั่วโมงเดินทางไปกรุเทพ แต่วันนี้โลกแคบเข้ามาถึงอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี แล้ว ด้วยการเดินทางไป-กลับกรุงเทพทางถนนได้วันละหลายๆรอบ และเมื่อใช้ WiFi โลกและอาเซียน ก็มาปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ของคนสามชุกได้โดยพลัน
ทั้งหมดนี้เป็นโลกอันฉาบฉวย จะส่งผลกระทบดีก็ได้ ร้ายก็มี ชาวสามชุกจะต้องเรียนรู้ถึงประโยชน์ของโลกาภิวัตน์อันเป็นพลังบวก และรู้จักสร้างภูมิคุ้มกันกระแสโลกาภิวัตน์ที่มีพลังทำลายชีวิตวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ไม่แพ้กัน
วันนี้ที่สามชุก ป้ายบอกทางไปประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นสัญญลักษณ์ปลุกให้เกิดความตื่นตัวและทำความรู้จักกับอาเซียน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มที่ดีแล้ว งานต่อไปสำหรับชาวสามชุกก็คือปรับตัว หาข่าวสารความรู้ เพื่อให้เป็นผู้ชนะในประชาคมอาเซียน
สามชุกในอนาคตอาจเป็นตลาดที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม สังคม และ เศรษฐกิจ ระดับอาเซียนก็เป็นได้.
