ป.ป.ช.ต้องเร่งไต่สวนคดี“บิ๊ก”ศาลปกครอง อย่าลูบหน้าปะจมูก
ในเรื่อง “ชิงปิดคดี”บิ๊ก”ศาลปกครอง ช่วยหรือทำลายกระบวนการยุติธรรม?” ชี้ให้เห็นว่า การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ไม่สามารถเริ่มการไต่สวนกรณีที่มีการร้องเรียน อดีตผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดและพวกใน 2 กรณีคือ...
หนึ่ง ถูกกล่าว หาว่า ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการเปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดในการ พิจารณาคดีมิให้นำมติ ครม.นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ซึ่งสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปดำเนินการใดๆ
สอง ถูกกล่าวหา ใช้อำนาจโดยมิชอบในการส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มาตรา 16 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือ ไม่
ทั้งๆที่เวลาผ่านไปนานถึง 7 เดือน หลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ให้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไว้ไต่สวนเพราะ ดร.หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุดอ้างว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบกรณีดังกล่าวเพราะเป็นการแทรกแซงการทำงานของ ฝ่ายตุลาการและไม่ยอมให้สำนักงานศาลปกครองส่งข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ขณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เองไม่ยอมใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 25(1) ที่ให้อำนาจในการเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใดๆ เพื่อประโยชน์ในการไต่สวนข้อเท็จจริง ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ
พฤติการณ์ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นการลูบหน้าปะจมูกหรือไร้มาตรฐานในการทำงานหรือไม่?
เพื่อความกระจ่างว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจในการไต่สวน “บิ๊ก”ตุลาการศาลปกครองที่ถูกกล่าวหาว่า ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ต้องพิจารณาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
เริ่มจากรัฐธรรมนูญมาตรา 250(3) บัญญัติอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไว้ว่า ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงหรือข้าราชการซึ่ง ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่าขึ้นไปร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม … ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ทั้งนี้บทนิยามของ “เจ้าหน้าที่รัฐ”และ “ผู้บริหารระดับสูง”และ “ข้าราชการ”ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯได้เขียนครอบคลุมข้าราชการตุลาการไว้ด้วย(มาตรา4)
นอกจากนี้ มาตรา 270-272 ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้บริหารระดับ สูงซึ่งถูกกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงซึ่งกำหนดให้ประธานวุฒิสภาต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนนั้น
ได้รวมเอาตำแหน่ง ประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษาศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุดและตุลาการศาลปกครองสูงสุดเอาไว้ด้วย
ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯเอง มาตรา 84 (2) ก็ระบุชัดว่า สามารถกล่าว่าหา “ผู้พิพากษาและตุลาการ”ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมได้ในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เกินห้าปี
หลังจากไต่สวนแล้ว ถ้า ป.ป.ช.มีมติว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวมีมูลความผิด ให้ประธาน ป.ป.ช.ส่งรายงานและอกสารการไต่สวนพร้อมทั้งความเห็นไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองฯโดยเร็วฯ (มาตรา 92 วรรคสอง)
จากคำร้องทั้งสองกรณี มีการระบุรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการ และชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนองค์คณะตุลาการเป็นการใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงความเป็นอิสระของตุลาการ ไม่ใช่เพราะเหตุอันมิอาจก้าวล่วงได้ จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองฯ น่าเข้าข่ายการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม อยู่ในอำนาจการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่จะรับเรื่องไว้ไต่สวนได้
ทั้งจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวเห็นชัดว่า ป.ป.ช.มีอำนาจการไต่สวนข้าราชการตุลาการศาลปกครองที่ถูกกล่าวหาโดยมีพยานหลักฐานเบื้องต้นที่ชี้ให้เห็นมีพฤติการณ์ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
ดังนั้น ทางออกที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่การดิ้นรนเพื่อหลีกหนีการไต่สวน แต่ต้องพิสูจน์ “บิ๊ก”ตุลาการศาลปกครองว่า มิได้มีการใช้อำนาจโดยมิชอบแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหา .
