ว่าด้วยระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (ตอนจบ)
ต่อจากตอนแรก ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความในเฟชบุค เรื่อง การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ล่าสุดมีการเผยแพร่ บทความเรื่อง ว่าด้วยระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (ตอนจบ)

๕. ปัญหาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมีกษัตริย์เป็นประมุขแบบไทย
ระบอบการปกครองของไทยนั้น นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา ก็ยอมรับกันว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชชนิดที่กษัตริย์มีอำนาจอธิปไตยสมบูรณ์เด็ดขาดนั้นเป็นอันเลิกล้มไป และแทนที่ด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยกษัตริย์มีพระบรมราชโองการพระราชทานแก่ประชากรของพระองค์ “ให้ดำรงอิสสราธิปไตยโดยบริบูรณ์” โดยยืนยันหลักที่ว่า “อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวสยาม” และ “พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นแต่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” และต่อมาตามรัฐธรรมนูญทุกฉบับนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๒ ก็เรียกระบอบการปกครองนี้ว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
นับแต่นั้นมา วงวิชาการไทยก็เผชิญกับปัญหาสถานะของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่นเดียวกับที่เคยถกเถียงกันในโลกตะวันตกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๙ เป็นปัญหาถกเถียงกันในแง่จินตภาพของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เข้าแทนที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ภายใต้หลักการที่ว่า อำนาจการปกครองสูงสุดเป็นของหรือมาจากปวงชน แต่ขณะเดียวกันพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐก็เป็นผู้ทรงใช้อำนาจการปกครองนั้นตามรัฐธรรมนูญเรื่อยมาจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยมีปัญหาว่า พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐทรงมีสถานะในความสัมพันธ์กับปวงชนซึ่งเป็นที่มาหรือเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างไร
๖. ระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ใช่เพียงสัญญลักษณ์
ความขัดแย้งหลักในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของหรือมาจากปวงชนนั้น ตั้งอยู่บนฐานความคิดที่แย้งกัน คือ ระหว่างพระมหากษัตริย์ซึ่งเสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นมหาสมมติราช ตามหลักอเนกชนนิกรสโมสรสมมติ กับสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และสมมติว่าเป็นผู้แทนปวงชนนั้น ใครคือผู้ทรงอำนาจอธิปไตย หรือ ใครคือรัฎฐาธิปัตย์นั่นเอง
ความคิดแบบแรกที่เน้นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอำนาจปกครองสูงสุดของปวงชนกับพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นตามกฎหมาย ซึ่งอธิบายว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนี้แท้จริงแล้วก็คือ ระบอบกษัตริย์ของประชาชน หรือ Popular Monarchy หรือ Constitutional Monarchy ซึ่งหมายถึง ระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ อันเป็นระบอบที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้ถืออำนาจปกครองสูงสุดในนามของปวงชน โดยใช้อำนาจนั้นอย่างจำกัด ตามวิถีทางประชาธิปไตย และตามรัฐธรรมนูญ ตามความคิดนี้ “ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ” ที่รับรองการมีส่วนร่วมในการปกครองของประชาชน จึงเป็นสิ่งเดียวกันกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในแง่นี้กษัตริย์มิได้เป็นเพียงประมุขของรัฐ แต่ยังเป็นประมุขของระบอบการปกครองประชาธิปไตยด้วย
ความคิดที่คล้ายกัน แต่มีหลักการสำคัญต่างกันคือ ฐานคิดที่อธิบายว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น โดยสาระสำคัญแล้วคือ Popular Democracy หรือ ระบอบประชาธิปไตยแบบประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ และยอมให้พระมหากษัตริย์ในฐานะสถาบันที่มีมาตามโบราณราชประเพณีร่วมใช้อำนาจนั้นเพียงในเชิงสัญญลักษณ์หรือในเชิงพิธีการเท่านั้น แต่อำนาจแท้จริงอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร ความคิดอย่างหลังนี้บางทีก็เรียกว่า Parliamentary Democracy หรือ Representative Democracy หรือประชาธิปไตยโดยผู้แทนราษฎร ที่มีสภาผู้แทนราษฎร หรือรัฐสภา หรือรัฐบาลที่มาจากสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ถืออำนาจปกครองสูงสุดแทนประชาชน โดยรับรองให้พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐในเชิงสัญญลักษณ์ รูปแบบการปกครองแบบนี้ได้แก่กรณีของสหราชอาณาจักร หรือกรณีของญี่ปุ่น เป็นต้น
การที่อธิบายว่าอังกฤษ และญี่ปุ่นซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ แต่ไม่จัดว่าเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็เพราะพระมหากษัตริย์ในอังกฤษ และญี่ปุ่นแม้จะได้ชื่อว่าทรงอำนาจอธิปไตย แต่ในทางข้อเท็จจริงและในทางกฎหมาย พระมหากษัตริย์ แม้เป็นประมุขของรัฐ ก็มิได้เป็นประมุขหรือศูนย์รวมแห่งระบอบการปกครอง เพราะอำนาจการปกครองนั้นแท้จริงอยู่ที่รัฐสภา
โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษนั้น แม้พระมหากษัตริย์จะมีมาโดยโบราณราชประเพณี แต่นับแต่เกิดสงครามกลางเมืองจนมีการสำเร็จโทษกษัตริย์ในศตวรรษที่ ๑๗ แล้ว พระมหากษัตริย์ก็เป็นแต่เพียงองค์กรหนึ่งที่รัฐสภาตั้งขึ้นหรือรับรองไว้ตามกฎหมาย โดยกำหนดไว้แน่ชัดว่าจะทรงใช้อำนาจการปกครองได้เพียงเท่าที่ได้รับคำแนะนำและยินยอมจากที่ปรึกษาของพระองค์ ซึ่งได้แก่รัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น
สำหรับญี่ปุ่นนั้น หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นซึ่งร่างขึ้นโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและได้รับการรับรองและประกาศใช้โดยสภาผู้แทนราษฎรของญี่ปุ่นเมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๗ ก็กำหนดไว้โดยชัดแจ้งในมาตรา ๑ ว่า องค์พระจักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์ของรัฐและสัญญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชาวญี่ปุ่น ในมาตรา ๓ ได้จำกัดพระราชอำนาจไว้โดยแจ้งชัดว่า การดำเนินพระราชกรณียกิจใด ๆ เกี่ยวกับกิจการของรัฐจะต้องได้รับคำแนะนำและยินยอมจากคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในกิจการนั้น ๆ อีกทั้งในมาตรา ๔ ก็ยังสำทับไว้ด้วยว่า พระจักรพรรดิทรงมีพระราชอำนาจเพียงเท่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และไม่มีพระราชอำนาจใด ๆ เกี่ยวกับกิจการของรัฐบาล จากนั้นในมาตรา ๖ ก็กำหนดต่อไปว่า การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกราบบังคมทูล และการแต่งตั้งประธานศาลฎีกาเป็นไปที่คณะรัฐมนตรีกราบบังคมทูล อนึ่ง ในมาตรา ๗ นั้น แม้จะรับรองให้องค์จักรพรรดิทรงใช้พระราชอำนาจในการดำเนินราชกิจต่าง ๆ เช่นการประกาศใช้กฎหมาย การเปิดประชุมสภา กำหนดให้มีการเลือกตั้ง ลงนามในสนธิสัญญา การประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ฯลฯ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในนามของปวงชนชาวญี่ปุ่นก็ตาม รัฐธรรมนูญก็จำกัดไว้ด้วยว่า พระราชกรณียกิจเหล่านี้ย่อมมีได้ตามคำแนะนำและความยินยอมของคณะรัฐมนตรี และที่สำคัญองค์พระจักรพรรดิไม่ทรงมีพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ หรือพระราชอำนาจในการยับยั้งกฎหมายแต่อย่างใด
ในกรณีของประเทศไทยนั้น นับตั้งแต่ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา ได้มีการรับรองหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนไว้อย่างแจ้งชัด (มาตรา ๑) แต่ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่า พระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชน ร่วมกันกับองค์กรอื่น ๆ อันได้แก่สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาล (มาตรา ๒) และรับรองหลักความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและถ่วงดุลกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐเป็นศูนย์กลางไว้อย่างแจ้งชัด ว่ากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ พระราชบัญญัติก็ดี คำวินิจฉัยของศาลก็ดี การอื่น ๆ ซึ่งจะมีกฎหมายระบุไว้โดยเฉพาะก็ดี จะต้องกระทำในนามของกษัตริย์ (มาตรา ๔) แต่การกระทำของพระมหากษัตริย์จะมีผลก็ต่อเมื่อมีผู้สนองพระบรมราชโองการ (มาตรา ๗)
หลักการทำนองเดียวกันนี้ยังปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่ว่า อำนาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวสยาม พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นแต่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ (มาตรา ๒) และต่อมาในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๙๒ จึงมีการตราไว้อีกว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (มาตรา ๒) และนับแต่นั้นมา หลักสองประการที่ว่า หนึ่ง ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสอง อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ก็เป็นหลักที่ดำรงอยู่ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับเรื่อยมา ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
อนึ่ง แม้จะมีการรับรองว่า ผู้แทนราษฎรเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยทั้งหมด มิใช่แทนเฉพาะผู้ที่ลงคะแนนเลือกตั้งตน และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต โดยไม่ตกอยู่ใต้อาณัติใด ๆ ดังที่มีมาตามมาตรา ๒๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ ๒๔๗๕ และสืบเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน ก็เป็นแต่เพียงรับรองฐานะผู้แทนปวงชนในการใช้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตรวจสอบถ่วงดุลการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ไม่ใช่รับรองให้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน ดังเช่นอำนาจของพระมหากษัตริย์
หากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญในบางประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยรับรองไว้อย่างแจ้งชัดในรัฐธรรมนูญว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนทำนองเดียวกับของไทย อย่างเช่นที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญของประเทศในโลกตะวันตก เช่นเยอรมัน และฝรั่งเศสในยุคสาธารณรัฐแล้ว เราจะพบว่า การวางบทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจอธิปไตยในรัฐธรรมนูญของเยอรมันและฝรั่งเศสแตกต่างจากของไทยในสาระสำคัญ
รัฐธรรมนูญของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญต้นแบบของโลกฉบับหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๐ (๒) ว่า
“อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชน ปวงชนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง และการลงคะแนนเสียงอย่างอื่น และผ่านองค์กรโดยเฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ”
รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๕๐๑ ก็บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ ว่า
“อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ปวงชนใช้อำนาจอธิปไตยผ่านผู้แทนราษฎร”
แน่นอนว่าประธานาธิบดีของเยอรมันและฝรั่งเศสซึ่งเป็นประมุขแห่งรัฐนั้น แม้รัฐธรรมนูญจะรับรองให้เป็นผู้มีอำนาจประกาศใช้กฎหมาย อาจยับยั้งกฎหมายขององค์กรฝ่ายนิติบัญญัติได้ และมีเอกสิทธิ์ในการให้อภัยโทษ อันเป็นการถ่วงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ และให้ความเมตตาธรรมแก่ผู้ต้องคำพิพากษาตามเหตุอันควร เช่นเดียวกับที่เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทย แต่ประธานาธิบดีในประเทศทั้งสอง ก็ล้วนเป็นผู้แทนปวงชนผ่านการเลือกตั้ง ส่วนพระมหากษัตริย์ของไทยไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาตามจารีตประเพณี การที่รัฐธรรมนูญรับรองให้ทรงมีพระราชอำนาจเช่นนี้ อธิบายได้อย่างเดียวว่า เป็นการเชื่อมโยงปวงชนกับพระมหากษัตริย์เข้าด้วยกัน ทำให้พระมหากษัตริย์มีความชอบธรรมในการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน โดยสะท้อนออกมาในทางกฎหมายว่า พระมหากษัตริย์ทรงสถานะเป็นผู้แทนปวงชนทางจารีตประเพณี ทางคุณธรรม และทางวัฒนธรรมอันดี อันเป็นรากฐานของระบบกฎหมาย ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของชาติ และเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน ในเชิงกำกับและถ่วงดุลการใช้อำนาจขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทรงพระราชอำนาจตามอำเภอใจ แต่เป็นไปตามกฎหมาย และย่อมถ่วงดุลได้โดยผู้มีอำนาจหน้าที่สนองพระบรมราชโองการเช่นกัน
สถานะความเป็นรัฎฐาธิปัตย์ของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญของไทย ยังปรากฏให้เห็นในหลักการสำคัญที่เป็นหลักแสดงสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ ซึ่งแสดงความคงอยู่ของรัฐธรรมนูญไว้ในบทบัญญัติที่วางข้อจำกัดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ใน มาตรา ๒๙๑ (๑) ตอนท้ายที่กำหนดว่า “ญัติติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะเสนอมิได้”
นั่นหมายความว่า การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐไปเป็นรูปแบบอื่นใด นอกจากรูปแบบราชอาณาจักร อันเป็นรัฐที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ หรือระบอบการปกครองอื่นใด อันนอกเหนือไปจากระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ย่อมมีผลเป็นการล้มล้างหรือการทำให้รัฐธรรมนูญนี้เสียสภาพไป พระมหากษัตริย์ในฐานะที่เป็นทั้งประมุขของรัฐ และประมุขของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจึงเป็นหลักที่สะท้อนให้เราเห็นได้ว่า พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวม เป็นสาระสำคัญสูงสุดที่แสดงออกในรูปแบบของรัฐและระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพร้อมกันไป
๗. พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นรัฎฐาธิปัตย์ตามข้อเท็จจริง
รัฐเป็นชุมชนทางการเมือง หรือองค์การจัดตั้งทางการเมืองขั้นสูงสุดในดินแดนแต่ละประเทศซึ่งเกิดขึ้นจากการที่สมาชิกแห่งชุมชนนั้นได้เข้าร่วมกันเป็นปึกแผ่น ภายใต้เจตจำนงในการจัดให้มีระเบียบแบบแผนทางการเมืองการปกครอง ถึงขนาดที่มีทั้งความสามารถและมีอำนาจหน้าที่ในการจัดระเบียบการปกครองอย่างเป็นกิจจะลักษณะ โดยไม่ตกอยู่ในอาณัติของอำนาจอื่นใดในรูปของการตรากฎหมายและกฎเกณฑ์ทางสังคม โดยมีการบังคับใช้อย่างมีแบบแผน
ในทางประวัติศาสตร์ การตั้งอำนาจการปกครองแผ่นดินอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เป็นผลจากการที่ผู้นำองค์กรทางการเมืองร่วมกันกับสมาชิกขององค์กรนั้นสถาปนาอำนาจปกครองขึ้นเป็นแบบแผน แล้วบุคคลอื่น ๆ ให้การยอมรับนับถือแบบแผนนั้น และเข้าร่วมกันเป็นปึกแผ่นแน่นหนา เหนือดินแดนแห่งหนึ่งแห่งใดที่รวมเรียกว่าประเทศ อำนาจนี้ในทางความคิดดั้งเดิมที่ยอมรับนับถือกันมาในวัฒนธรรมไทย ถือว่าเป็น “อำนาจตั้งแผ่นดิน” ตามหลัก “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมายไทยมาแต่ดั้งเดิม โดยมีผู้นำที่ได้รับการยกย่องจากปวงชนให้ถืออำนาจปกครองเรียกว่าเป็น “มหาสมมุติราช” หรือพระมหากษัตริย์นั่นเอง
การตั้งแผ่นดินสุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามกรอบแนวคิดนี้
ด้วยเหตุนี้เมื่อถึงคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน จากระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นการปกครองแบบกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ จึงมีการอาศัยแนวคิดเรื่องอำนาจตั้งแผ่นดินในฐานะที่เป็นอำนาจของปวงชนที่แสดงออกโดยสมมุติผ่านทางพระมหากษัตริย์เป็นรากฐานในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ และเป็นที่ยอมรับกันว่า อำนาจของประชาชนที่แสดงออกผ่านทางพระมหากษัตริย์นี้ เป็นอำนาจดั้งเดิม ตั้งอยู่ตามธรรมชาติ ดำรงอยู่ด้วยตนเอง มีอยู่ก่อน ดำรงอยู่นอกและอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจที่สถาปนาการปกครองตามรัฐธรรมนูญขึ้น และอำนาจของปวงชนที่แสดงออกโดยสมมุติผ่านทางพระมหากษัตริย์จึงนับได้ว่า เป็นรากฐานของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั่นเอง
อำนาจของปวงชนหรือเอนกชนนิกรสโมสรสมมติที่แสดงออกผ่านพระมหากษัตริย์หรือมหาสมมุติราชในฐานะที่เป็นอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญนี้ เป็นรากฐานแห่งการปกครอง เป็นอำนาจที่อยู่นอกและอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ และเป็นอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือแม้จะล้มล้างรัฐธรรมนูญเสียก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่อำนาจจะทำอะไรตามอำเภอใจ เพราะเป็นอำนาจที่ยังต้องผูกพันตามหลักความเป็นธรรมตามกฎหมายธรรมชาติ ปวงชนที่แสดงออกโดยพระมหากษัตริย์ในฐานะรัฎฐาธิปัตย์จึงดำรงอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ในขณะที่ประชาชนแต่ละคนย่อมได้รับความคุ้มครองและอยู่ใต้บังคับของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
สถานะของพระมหากษัตริย์ หรือมหาสมมุติราชนี้ ดำรงอยู่ได้ในทางข้อเท็จจริงในฐานะที่เป็นผู้ทรง “ราชทัณฑ์” หรือประมุขของระบอบการปกครองซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการใช้อำนาจบังคับเหนือประชาชนให้เป็นไปตามกฎหมาย และเหนืออริราชศัตรู จึงดำรงสถานะเป็นจอมทัพ และผู้รับคำปฏิญาณสาบานตนของผู้ถืออำนาจสำคัญในบ้านเมืองสืบต่อมาแต่โบราณ แต่ทั้งนี้ก็โดยควบคู่ไปกับการที่พระมหากษัตริย์ต้องทรงตั้งอยู่ใน “ราชธรรม” ซึ่งประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ คือการทำนุบำรุงสมณชีพราหมณ์ให้ทรงศีลและทรงสติปัญญาในบ้านเมืองไว้โดยชอบ การทำนุบำรุงเศรษฐกิจของบ้านเมืองโดยชอบ การจัดสรรทรัพยากรแก่คนทั้งหลายตามส่วนที่ควรจะได้โดยชอบ และการปกป้องบ้านเมืองไม่ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของอธรรม หรืออำนาจมิจฉาทิฎฐิทั้งปวง
หลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา มีการระงับใช้ ล้มล้างและประกาศใช้รัฐธรรมนูญอีกหลายครั้ง การดำเนินการทั้งหมดล้วนแล้วแต่อาศัยกรอบแนวคิดหรือข้ออ้างว่าเป็นการกระทำโดยปวงชน หรือเพื่อประโยชน์ของปวงชน โดยแสดงเจตนาออกมาผ่านทางพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐและประมุขของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเสมอมา แบบแผนในการยึดอำนาจการปกครอง หรือแม้การคัดค้านต่อต้านอำนาจการปกครองที่เป็นทรราช ไปจนกระทั่งการจัดแบบแผนการปกครองขึ้นใหม่ ล้วนแล้วแต่แสดงออกตามกรอบแนวคิดนี้
ในภาวะที่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องป้องปัดบำบัดภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉิน หรือในภาวะจำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หรือในยามที่ต้องใช้อำนาจสูงสุดในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของระบอบการปกครอง และในฐานะประมุขของรัฐ หรือในฐานะที่ทรงเป็นรัฎฐาธิปัตย์ในนามของปวงชน ก็ย่อมจะเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจสูงสุดนี้ ทั้งในทางกฎหมาย และในทางข้อเท็จจริง ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หรือในฐานะผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญในนามของปวงชนชาวไทย
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือการปกครองที่ปวงชนกับพระมหากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของระบอบการปกครองนี้ เป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจสูงสุดที่แสดงเจตจำนงออกมาในนามของปวงชน ทั้งนี้โดยในยามปกติย่อมมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และในยามวิกฤติ หรือในยามฉุกเฉินย่อมมีพระราชอำนาจที่จะทรงใช้อำนาจสูงสุดในฐานะผู้สถาปนารัฐธรรมนูญในนามของปวงชนเพื่อประโยชน์สุขของปวงชน ตามที่องค์กรประมุขของรัฐ และประมุขของระบอบการปกครองจะทรงเห็นว่าเหมาะสม ควรแก่เหตุตามกาละ และเทศะนั้น ๆ
