บทเรียนที่ได้รับ จากการเลือกตั้ง
ตั้งแต่สมัยที่ทำกิจกรรม เราได้ฝึกรวบรวมบทเรียนที่เราได้รับหลังทำกิจกรรมร่วมกันโดยเร็ว เพราะหากผ่านไปแล้ว อาจจะลืมบทเรียนที่ควรจะได้ จากการเลือกตั้งครั้งนี้ คงไม่แปลกที่ผลการเลือกตั้ง จะได้ใคร พรรคใด แต่ผมคิดว่า เราน่าจะได้รวบรวมบทเรียนอย่างเป็นกลางๆ
น่าจะสามารถได้รับบทเรียนที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
1. การเลือกตั้ง ควรต้องมีการ “ดีเบต” เพราะ
... “สาระ” สำคัญยิ่งกว่า “สีสัน” และ
... คนไทยควรมีคุณค่าพอที่จะได้ “ความจริง” แทนที่จะเป็น “ความเท็จ” จากนักการเมือง
หากเรานึกย้อนกลับไป ระหว่างเตรียมตัวเลือกตั้ง ผมแปลกใจที่เราให้ความสนใจที่ “สีสัน” ของการหาเสียง ควรจะทำอาหารโชว์อย่างไร ดูเหมือนใกล้ชิดชาวบ้านอย่างไร นำเสนอข้อมูลด้วยวิธีเกินปรกติอย่างไร แทนที่จะเน้นกันที่เรื่องสาระ
และเมื่อผลเลือกตั้งผ่านไป ยังไม่ทันครบ 1 สัปดาห์ สื่อมวลชนเพิ่งกลับมานำเสนอว่า นโยบายที่นักการเมืองได้รับปากไว้กับประชาชนนั้น อย่างเช่นเรื่อง ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วันทั่วประเทศ เรื่องเงินเดือนปรัญญาตรี 15,000 บาท/เดือน แท็ปเล็ตเด็กไทยทั้งแผ่นดิน หรือเรื่องอื่นๆ ดูท่าจะเป็นเพียง “เทคนิค” การหาเสียง คือ พูดให้ตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจไปก่อน ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะเลือกกันไปเรียบร้อยแล้ว
เรื่องทำนองนี้ น่าจะกลั่นกรองไปได้ด้วยการ “ประชันวิสัยทัศน์” หรือ “ดีเบต (Debate)” ด้วยจะเป็นการแสดงสติปัญญา และคำมั่นสัญญาที่สมเหตุสมผล การตรวจสอบกันและกัน ด้วยโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นความเท็จ ก็จะถูกกลั่นกรองไปด้วยคู่แข่ง นั่นจึงจะเป็นประโยชน์สูงต่อประชาชนอย่างแท้จริง
ประชาชนจึงควรสนใจ สื่อมวลชนจึงควรเน้นถ่ายทอด นักการเมืองจึงควรจริงใจที่จะนำเสนอ ข้อมูลที่เป็น “ความจริง” และ “ตรวจสอบได้”
และการดีเบตระดับชาติ ก็เลิกเสียที กับการแบ่งคนละ 3 นาที หรือ 5 นาที พูดว่าจะทำอะไรให้ประชาชน ซึ่งเมื่อเรารู้ว่า มีนักการเมืองโกหกมากมาย ก็ควรใช้การ “ดีเบต” แบบ คน “รู้ทัน” กัน มาประชันกันจริงๆ ใช้ความจริงและเหตุผลมาตรวจสอบกัน ประชาชนก็จะได้ประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง
เลือกตั้งนำไปสู่การเลือกนายกฯ บริหารงบประมาณปีละนับล้านล้านบาท นำไปสู่การคัดสรรผู้นำตัวแทนของประเทศในเวทีโลก คนไทยมีสิทธิและมีศักดิ์ศรีที่จะได้ฟังการประชันอย่างปัญญาชนในอารยประเทศครับ
ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราหลงไปกับคำลวงเพียงที่ว่า “การดีเบตมีความได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะคนพูดเก่งจะได้เปรียบ”
แต่จริงๆแล้ว การ “กลัวดีเบต” ไม่เคยกลัวคนพูดเก่ง อดีตนายกฯสมัครก็พูดเก่ง เฉลิมก็นักพูด ปลอดประสพก็ลิ้นทอง ณัฐวุฒิก็นักโต้วาที อดีตนายกฯ และว่าที่นายกฯ ก็พูดชวนเชื่อได้เก่งทุกคน ไม่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เมื่อเทียบกันกับฝ่ายนายกฯอภิสิทธิ์ หรือ คุณจุรินทร์ หรือใครๆหรอกครับ ผมว่า การกลัว “ดีเบต” ไม่ใช่ “กลัวคนพูดเก่ง” ครับ “กลัวความจริง” หรือ “กลัวถูกจับโกหกได้” มากกว่า
ครั้งนี้ก็ผ่านไป สมาคมผู้สื่อข่าว หรือ องค์กรกลาง ควรเก็บเป็นบทเรียนไหมครับว่า ครั้งต่อไป อย่าให้นักการเมืองหนี “ดีเบต” กันอีก เพราะคนไทยมีคุณค่ามากกว่าที่จะจมอยู่กับเพียงโฆษณาเทียมเท็จ
2. สาระในการบริหารประเทศ อาจ “ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ” แต่สำคัญ เพราะเป็น “การยกระดับ” ประชาชน :
เวลาเราบอกว่า เศรษฐกิจช่วงนี้ดี รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้มีผลงานเตรียมให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไว้อย่างแข็งแรง เช่น
• แม้ผ่านวิกฤตการเงินโลกมาอย่างหนักหน่วงในรอบหลายสิบปี สหรัฐฯมียอดคนว่างงานประมาณ 9.2% คือ 11 คนว่างงาน 1 คน ไทยเรามียอดคนว่างงานเพียงประมาณ 1% คือ ใน 100 คนจะว่างงานแค่คนเดียว !
•
เราเคยมีเสียงโวยวายว่ารัฐบาลมาร์ค เก่งแต่กู้ กู้มาโกง แต่หนี้สาธารณะของไทยคิดเป็นเพียง 40% ของจีดีพี ของ สหรัฐฯพุ่งถึง 93% ของจีดีพี !
ปัจจุบันทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทยสูงสุดในประวัติศาสตร์ โดยสูงถึง 1.9 แสนล้านเหรียญ จัดเป็นอันดับที่ 13 ของโลกทีเดียว !
หลายคนก็จะหลงไปพูดว่า “พูดเรื่องพวกนี้ไร้ประโยชน์ ชาวบ้านไม่รู้เรื่องหรอก” ผมว่า เราดูถูกคนไทยเกินไปหรือเปล่า ขณะนี้ที่สหรัฐฯ ประธานาธิบดีกับผู้นำฝ่ายค้านก็กำลังประชันวิสัยทัศน์กันเรื่องการขยายเพดานการก่อหนี้ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเงินในขั้นต่อไป เข้าใจง่ายๆหรือครับ
ไม่เลย นักเศรษฐศาสตร์สักกี่คนที่เข้าใจชัด ชาวอเมริกันสักกี่เปอร์เซนต์ที่เข้าใจกระจ่าง แต่สังคมเขารู้ว่า ต้องมีเหตุผลแบบวิชาการ ใครมั่วก็จะเสียความน่าเชื่อถือ เพราะสื่อมวลชนก็จะช่วยปกป้องความจริง และความคิดที่ถูกต้องด้วย แม้ประชาชนชาวอเมริกันทั่วๆไปจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอจะเข้าใจได้ลางๆว่า ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ เขาควรจะให้ใครนำประเทศต่อไป
เราจึงน่าที่จะมีการยืนยันที่จะให้ความรู้ เพื่อยกระดับประชาชน หากมัวแต่มองหลงแต่เรื่องใกล้ตัว นักการเมืองไหน จะ “สัญญาด้วยปาก” ว่าจะให้อะไรมากกว่ากัน ก็อาจจะพาประเทศหลงตกต่ำได้
ผมเชื่อว่าแต่ละเรื่องสำคัญและน่าจะทำความเข้าใจได้ อย่างเรื่องเข้าใจยากเช่น ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระดับสูงสุด 1.9 แสน ล้านเหรียญ สรอ. หากเทียบกับตอนต่ำสุดในประวัติศาสตร์ คือช่วง พลเอก ชวลิต เป็นนายกฯ และ พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นรองนายกฯ มีทุนสำรองต่างประเทศสุทธิ์ต่ำสุดประมาณ 7 พันล้านเหรียญ สรอ. ! ซึ่งทำให้ต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วย เหมือนกับ กรีซในปัจจุบัน สรุปได้ว่าตอนนี้ ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทยสูงกว่าจุดต่ำสุดเกือบ 30 เท่า !
ผมว่า ถ้านักการเมืองยังเห็นคุณค่าคนไทย ยังจริงใจต่อแผ่นดิน ไม่ดูถูกคนไทย สื่อมวลชนทำหน้าที่รักษาจิตวิญญาณปกป้องแผ่นดิน ก็น่าจะเก็บเป็นบทเรียนว่า ต่อไปคนไทยควรได้ชม “ดีเบต” เพื่อประชันวิสัยทัศน์ ผู้ที่มีสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี และควร “กล้าอธิบายเรื่องภาพใหญ่” ที่วัดได้ เพื่อให้เห็นภาพกว้างที่แท้จริง แทนที่จะหลงเพียงเป็นการหาเสียงด้วยเทคนิค “การโฆษณาเทียมเท็จ” อันเป็นบาปกรรมต่อแผ่นดินกันต่อไปครับ .
([email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove)
ที่มาภาพ : http://bannangio.igetweb.com/index.php?mo=5&qid=477215
