สตง.เสนอ คปก.ดันต่อร่างพรบ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ประเดิมจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากภาครัฐ-องค์กรอิสรตามรธน. พบกฎหมายซับซ้อน ร่างกม.รอการพิจารณาอีกเพียบ ด้าน สตง.ร้องกว่า 700 คดีการทุจริต ค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. เสนอช่วยผลักดันต่อ
วันที่ 25 กรกฎาคม คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ชุดที่มีดร.คณิต ณ นคร ประธาน จัดโครงการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานภาครัฐขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ด้านการพัฒนากฎหมาย ณ โรงแรมทีเค พาเลซ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ ได้นำเสนอแนวทาง และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในการดำเนินการ เพื่อให้ทราบถึงปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำกฎหมายและเสนอกฎหมายต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ทางคณะกรรมการฯ ได้สำรวจร่างกฎหมายของหน่วยงานภาครัฐและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ในเบื้องต้นพบว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีจำนวนร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 8 ฉบับ, กระทรวงแรงงาน 6 ฉบับ, สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน 1 ฉบับ, สำนักงานศาลยุติธรรม 2 ฉบับ, กระทรวงมหาดไทย 3 ฉบับ, สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ 2 ฉบับ, กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ 8 ฉบับ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 1 ฉบับ โดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเร่งดำเนินการสำรวจเพื่อนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายต่อไป
สำหรับการแสดงความคิดเห็นในเรื่องของปัญหาด้านกฎหมายนั้น นายมณเฑียร เจริญผล ผู้แทนจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้แจงถึงประเด็นปัญหาสำคัญในเรื่องกฎหมายของสนง. ถึงร่างพรบ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน ว่าต้องการให้มีการดำเนินการต่ออย่างเร่งด่วน เพราะเกิดปัญหาตัวกฎหมายที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บัญญัติให้ตำรวจส่งเรื่องการตรวจพบการทุจริตไปยัง ป.ป.ช. แทนที่จะส่งถึงอัยการ
“การตรวจสอบพบการทุจริตในคดีอาญา แต่เดิมนั้นทาง สตง. จะส่งเรื่องไปยังตำรวจเพื่อยื่นฟ้องต่ออัยการ แต่เมื่อมี กฎหมาย ป.ป.ช. บัญญัติขึ้น ตำรวจจึงต้องส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งจากทางสถิติแล้วนั้น ตั้งแต่ 2541-2551 มีเรื่องที่ค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. ประมาณ 700 เรื่อง และใช้เวลาประมาณ 10 ปี ถ้าหากมีการเรียกไปสอบสวน คนที่มาสอบคงลืมเรื่องไปหมดแล้ว หรือบางคนอาจเกษียณไปแล้ว ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเงินของแผ่นดิน การจะปล่อยให้คนที่ทุจริตต่อเงินของแผ่นดินใช้เวลา 20 กว่าปี ถึงจะได้รับโทษ ดูเป็นการทำร้ายสังคมเกินไป”
ผู้แทน สตง. กล่าวต่ออีกว่า การออกกฎหมาย ที่ออกมาผิดที่ผิดทาง ส่งผลกระทบต่อทั้ง ภายในองค์กร และภายนอก ทั้งภาคประชาชน และภาพรวมของประเทศชาติ ท
ด้านผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงการพัฒนากฎหมายนั้น หลายเรื่องที่ต้องดำเนินการจะมีเรื่องของการใช้งบประมาณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงต้องมีการวิเคราะห์งบประมาณให้ดีก่อน
“ทุกครั้งที่มีการแก้ไขกฎหมายต้องมีการวิเคราะห์งบประมาณที่ต้องใช้ ในบางเรื่องต้องมีการเพิ่มงบประมาณ ซึ่งจะมีการไปผูกโยงกับเรื่องอื่น ยกตัวอย่าง นโยบายรัฐบาลในเรื่องเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บา หากมีการขึ้นเงินเดือนตามนั้น อาจจะไปเหลื่อมกับคนที่ทำหน้าที่เดิมอยู่แล้ว และไปเพิ่มในเรื่องของบำเหน็จบำนาญ และผูกโยงไปอีกหลายเรื่องด้วย”
นอกจากนี้ ผู้แทนจากสนง.คณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวด้วยว่า ฝากให้คณะกรรมปฏิรูปกฎหมาย ในการที่มุ่งจะพัฒนากฎหมายทุกๆด้านให้เกิดผลดี แต่ไม่ได้มองในมุมมองเรื่องของงบประมาณ ในทางปฏิบัติไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ จึงต้องมีการวิเคราะห์ในเรื่องของงบประมาณ เพื่อให้เกิดความสมดุลด้วย
ในช่วงท้าย นางสุนี ไชยรส รองประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า เห็นใจข้าราชการ และหน่วยงานของรัฐ ที่อยู่ในกระบวนการที่กฎหมายมีความซับซ้อน ซึ่งตรงนี้ทำให้ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ตามที่มุ่งหวัง ดังนั้น ภารกิจที่สำคัญต่อจากนี้คือการทำงานร่วมกัน โดยทางคณะกรรมการฯ มีทิศทางชัดเจนแล้ว ในอีก 11 เวทีจะเป็นการรับฟังความเห็นจากภาคประชาชนในมิติต่างๆ และทางคณะกรรมการฯ จะได้ทำการเชื่อมร้อยและพัฒนาร่วมกันกับภาพประชาชน ให้ดีขึ้น และเพื่อให้ลดความขัดแย้งลง
