“เดชรัต” ย้ำ “ปรับวิธีพิจารณาคดี” สำคัญกว่าแยกตั้งศาลสิ่งแวดล้อมฯ

ศาลปกครองเตรียมเปิดแผนกคดีสิ่งแวดล้อม 2 ส.ค.นี้ เพิ่มวิธีพิจารณายืดหยุ่นการเก็บค่าเสียหาย “เดชรัต” แนะศาลไต่สวน-เผชิญสืบมากขึ้น ด้าน“ศรีสุวรรณ” เสนอเพิ่มบทบาทเอกชน-องค์กรสาธารณต่อสู้แทนปชช.
จากผลกระทบของปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งขณะนี้มีการฟ้องร้องถึง 4,000 คดี และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ สังคม เศรษฐกิจ และสาธารณชนในวงกว้าง ดร.หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ออกประกาศให้จัดตั้ง “แผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครองสูงสุด” เพื่อให้การดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นไปโดยรวดเร็วทันต่อการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่คู่กรณี รวมทั้งเป็นประโยชน์แก่การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ โดยกำหนดเปิดทำการแผนกฯ พร้อมกันทุกศาลในวันที่ 2 สิงหาคม 2554 นี้
นายเดชรัต สุขกำเนิด อดีตกรรมการปฏิรูป (คปร.) กล่าวถึงการจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครองสูงสุดว่า จะมีส่วนช่วยทำให้การพิจารณาคดีความมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่จะมีความสำคัญมากที่สุดสำหรับพี่น้องประชาชน คือ “วิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุด และสำคัญมากกว่าการจัดตั้งศาลแยกตัวออกมา
“การพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมไม่ควรใช้วิธีการกล่าวหา เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ เพราะประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ ศาลจะต้องเข้ามาทำหน้าทีไต่สวน เรียกพยานหลักฐาน คู่ความและผู้ที่เกี่ยวข้อง บางกรณีศาลอาจจะต้องลงพื้นที่และเผชิญสืบด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งความสำคัญมากกว่าการจัดตั้งศาลขึ้นมา แต่หากจัดตั้งขึ้นมาแล้วทำให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้นก็จะเป็นการดี แต่ต้องไม่ลืมปรับปรุงวิธีการพิจาณาคดีด้วย”
นายเดชรัต กล่าวต่อว่า ไม่ควรหวังพึ่งกระบวนการยุติธรรมอย่างเดียว แต่กระบวนการยุติธรรมที่ดีก็เป็นตัวบังคับให้กระบวนการอื่นๆ มีความรับผิดชอบมากขึ้น การใช้กระบวนการยุติธรรมจึงเป็นปลายทาง แต่เป็นปลายทางที่สำคัญที่จะควบคุมให้ต้นทาง และกลางทางเอาจริงเอาจังมากขึ้น ศาลยุติธรรมจึงควรดำเนินการในมาตรฐานเดียวกันทั้งกรณีฟ้องภาคเอกชน และกรณีที่รัฐบาลฟ้องประชาชน
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวว่า การจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครองสูงสุดเป็นการจัดระบบโครงสร้างเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่เป็นประเด็นท้าทายสำหรับศาลปกครอง คือ“กระบวนการพิจาณาคดี” ที่เมื่อเป็นคดีสิ่งแวดล้อม ผู้ที่ได้รับผลกระทบจึงมีจำนวนมาก การพิจาณาคดีจึงควรแสวงหาข้อเท็จจริง หรือข้อมูลโดยตัวของศาลเอง รวมทั้งสามารถเร่งรัดระยะพิจารณาคดี หรือการไต่สวนให้เร็วขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
“หากจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมฯ ขึ้นมาแล้ว ยังมีกระบวนการพิจารณาคดีโดยปกติ เฉกเช่นที่ผ่านก็ไม่ได้มีความหมายอะไร เพียงแต่อาจจะไปเอื้อประโยชน์ให้กับตำแหน่งของตุลาการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรกับชาวบ้านที่เดือดร้อนจากคดีสิ่งแวดล้อม”
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า ศาลปกครองควรให้บทบาทหรืออำนาจหน้าที่แก่เอกชน นิติบุคคล หรือองค์กรสาธารณเป็นตัวแทนนำคดีขึ้นสู่ศาลต่อสู้แทนประชาชน อีกทั้งในช่วงนี้ควรออกมาให้ข้อมูลที่ชัดเจน และอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการของศาลฯ สู่สาธารณชน เพื่อให้ชาวบ้านมีความเข้าใจและเตรียมตัวเกี่ยวกับกระบวนการของศาลปกครองสูงสุดแผนกคดีสิ่งแวดล้อมนี้มากขึ้น
