ลึกสุดใจ! เจ้าของซุปเปอร์ริช"ตัวจริง" ในวันที่ "น้องชาย" ถูก คสช.เรียกตัว
"ตอนที่น้องผมมาบอกว่าจะเล่นการเมือง พวกเราได้ห้ามและเตือนเขาแล้ว บอกเขาแล้วว่าไม่ควรเล่น ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่เขาก็ไม่ฟัง พวกเราก็เลยต้องตัดขาดเขาออกไป แยกเขาออกไปจากธุรกิจครอบครัวให้ชัดเจน ไม่ให้มีส่วนเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรธุรกิจครอบครัวนานแล้ว"

นี่คือคำยืนยันจากปากของ "นายปิยะ ตันติเวชยานนท์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซุปเปอร์ริช อินเตอร์เนชั่นเนล เอ็กซ์เชนจ์ (1965) จำกัด พี่ชายแท้ๆ ของ "บิ๊กเบน” หรือ นายวรพงษ์ ตันติเวชยานนท์ รองประธานสโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทย เอฟซี และเป็นกรรมการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูประจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นประธานกรรมการ)
หนึ่งในรายชื่อ 155 คน ที่ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คชส.) เรียกเข้าไปรายตัว หลังการทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ในช่วงที่ผ่านมา
"น้องชายผมอยากเล่นการเมืองมาก เขาเริ่มต้นจากการเข้าไปทำงานกับ เสี่ยปุ่น (น.ต.ศิธา ทิวารี) เข้าไปทำงานให้พรรคเพื่อไทย ไปคุตัวอยู่ที่นั้น เขาให้ทำอะไรก็ทำ"
"ครอบครัวก็เตือนไปแล้ว ว่าไม่ให้เข้าไป เพราะเราเป็นครอบครัวคนจีน สนใจแต่เรื่องการทำธุรกิจ ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องการเมือง"
นายปิยะ ยังระบุชัดเจนว่า ในปัจจุบันแม้นายวรพงษ์ จะปรากฎชื่ออยู่ในบริษัทของครอบครัวจำนวนหนึ่ง แต่บริษัทเหล่านี้ ก็ไม่ได้ทำธุรกิจอะไร ตั้งเอาไว้เพื่อรอทำธุรกิจในอนาคต หุ้นธุรกิจบางส่วนก็ติดตัวน้องผมมาตั้งแต่เกิด เป็นมรดก แต่เขาไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยว ไม่ได้ทำอะไรหรอก
"บริษัทหลายแห่งที่น้องผมปรากฎชื่ออยู่ ตั้งไว้ลอยๆ ไม่ได้ทำอะไร ไปดูข้อมูลที่เรารายงานต่อกรมสรรพากรได้เลย แต่ในส่วนของธุรกิจซุปเปอร์ริชแลกเงิน ไม่ว่าจะเป็นสีส้มหรือสีเขียว ซึ่งเราเปิดขึ้นมาเพื่อให้แข่งขันกันเอง เขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลย"
"แต่หลังจากที่มีข่าวออกไป มันทำให้เกิดความสับสน สังคมมองเราแบบเข้าใจผิด หาว่าเราเป็นแหล่งฟอกเงินให้ทักษิณ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง เพราะน้องผมไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับธุรกิจส่วนนี้เลย ไม่ได้มีอำนาจสั่งการอะไรเลย"
นายปิยะ ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากที่มีข่าวออกไปตอนนี้ ธุรกิจประสบปัญหามาก ทั้งกองปราบปราม ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย เข้ามาตรวจสอบ จนไม่ต้องทำมาหากินอะไรกันแล้วตอนนี้
เมื่อถามว่า ในฐานะพี่ชาย ประเมินได้หรือไม่ว่าทำไม คสช. ต้องเรียกตัวน้องชาย เข้าไปรายงานตัว นายปิยะ ตอบว่า "ผมตอบไม่ได้หรอก เพราะผมไม่รู้เขาไปทำอะไรมาบ้าง"
"เราเคยห้ามเขาไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่เขาไม่ฟัง เขาไปร่วมด้วย คิดดูว่าเขาจะมาบอกเราไมว่าเขาไปทำอะไรบ้าง ซึ่งโดยปกติงานพรรคการเมือง เวลามีอะไรเขาก็เรียกใช้ น้องผมก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆ เมื่อเข้าไปร่วมกับเขา เขาให้ทำอะไรก็ทำ เหมือนนายเรียกใช้อะไรทำนองนี้"
เมื่อถามว่า ติดต่อน้องชายได้หรือยัง นายปิยะ ตอบว่า "เขาถูกควบคุมตัวอยู่ผมติดต่อไม่ได้เลย ทราบข่าวล่าสุดจากเพื่อนเขาว่า "ถูกควบคุมตัวไปอยู่ที่ภาค 1 ตอนนี้"
เมื่อถามว่า ตอนที่ถูกประกาศรายชื่อเรียกให้ไปรายงานตัว ได้โทรไปสอบถามข้อมูลจากน้องชายหรือไม่ นายปิยะ ตอบว่า "ผมไม่ได้คุยกับเขาโดยตรง แฟนเป็นคนคุย น้องผมเขาก็ยืนยันว่า ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลย เขาอยู่ที่บริษัทเขา ไม่ได้ทำอะไรเลย"
เมื่อถามว่า น้องชายทำธุรกิจอะไร นายปิยะ ตอบว่า "น้องผมเขาเปิดอาบอบนวดชื่อว่า อัมสเตอร์ดัม อยู่ตรงถนนรัชดา เขาก็ไปใช้ชีวิตไปกินนอนอยู่ที่นั้น"
เมื่อถามว่าทำไมน้องชายถึงสนใจที่จะเข้ามาเล่นการเมือง นายปิยะตอบว่า "ผมไม่รู้นะอาจจะเป็นเพราะต้องการโชว์อะไรบ้างอย่างให้ครอบครัวเห็น และก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ซึ่งเรื่องแบบนี้มันเข้าใจยาก ตอบยากเหมือนกัน เพราะคนเราตอนเรียนก็มีอุดมการณ์อย่างหนึ่ง พอเข้าสู่สังคม อุดมการณ์มันก็เปลี่ยนไปได้"
นายปิยะ ยังระบุด้วยว่า ตอนนี้ก็ยังติดตามข่าวน้องชายอยู่ เพราะคนเราเป็นพี่น้องกัน สายเลือดเดียวกัน แม้เขาจะไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยในเรื่องธุรกิจ แต่ไปทำงานการเมืองเพราะเรื่องอุดมการณ์ แต่มันก็ตัดกันไม่ขาดหรอก
"ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ซึ่งล่าสุด คสช. ก็ออกมาแจ้งข่าวแล้วว่าไม่ได้มีการซ้อมทรมานผู้ที่ถูกควบคุมตัวไว้ เราก็สบายใจในระดับหนึ่ง และหวังว่าเขาจะปลอดภัย ไม่ได้อะไรอันตรายเกิดขึ้น " นายปิยะ กล่าวทิ้งท้าย
(อ่านประกอบ: เปิดเครือข่าย“วรพงษ์”เจ้าของร้านรับแลกเงิน ถูกขึ้นบัญชี“คสช.”)
