เมื่อ ป.ป.ช. การันตี "นักการเมืองทุจริต" ยุคหลังรัฐประหาร 57 อยู่ยาก!
ป.ป.ช.เอาจริง! นโยบายใหม่ ลุยสอบทรัพย์สิน "นักการเมือง"ละเอียดยิบช่วงบริหารงานเก้าอี้ รมต. เชื่อมโครงการที่รับผิดชอบ "สรรเสริญ" ลั่นถ้าเป็นคนดีจริง ตั้งใจเข้ามาทำงานรับใช้บ้านเมือง ไม่ต้องกลัว เผยเบื้องหลังตั้งคณะไต่สวนคดีข้าว "นิวัฒน์ธำรง-ยรรยง" ยอดความเสียหายพุ่ง 5 แสนล้าน จาก 3.3 แสนล้าน ในช่วงยิ่งลักษณ์

"ความจริงการตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมืองที่เข้ามาดำรงตำแหน่งต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่นทางป.ป.ช. เราดำเนินการมาตลอดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เรามีเครื่องมือตรวจสอบใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มมากขึ้น ทั้งข้อมูลด้านไอที เรื่องธุรกรรมการเงิน ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ จึงเห็นสมควรให้เพิ่มการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกเรื่องนี้มากขึ้น"
นี่คือคำยืนยันของ นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงที่มามติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ที่เห็นสมควรให้ขยายผลในการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าว โดยจะดำเนินการตรวจสอบรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เกี่ยวข้องในโครงการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
นายสรรเสริญ ยังกล่าวย้ำว่า มติคณะกรรมการป.ป.ช. ชุดใหญ่ ให้เน้นการตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมืองช่วงที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง โดยเฉพาะในส่วนของตำแหน่งรัฐมนตรี จะถูกดำเนินการอย่างเข้มข้นนับจากนี้ไป
"การตรวจสอบข้อมูลทรัพย์สินของนักการเมืองจากนี้ไป จะเข้าไปดูข้อมูลเชิงลึกถึงการใช้ชีวิตประจำวันของนักการเมืองว่าอยู่อย่างไร นำเงินจากไหนมาใช้จ่าย สอดคล้องกับรายได้และรายจ่ายที่แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินหรือไม่"
"ป.ป.ช.มีทีมงานเชิงลึกที่ค่อยตรวจสอบข้อมูลเรื่องทรัพย์สินอยู่แล้ว เราจะเพิ่มการตรวจสอบให้มากขึ้น จะไล่ดูข้อมูลทั้งหมด อาทิ นักการเมืองรายนี้ ใช้รถยนต์ยี่ห้ออะไร เวลาไปงานโน่นงานนี่ เอาเงินจากไหนมาใช้จ่าย และในการตรวจสอบข้อมูลจะไปเชื่อมโยงกับข้อมูลโครงการที่นักการเมืองรายนั้นรับผิดชอบอยู่หรือไม่ด้วย ซึ่งในส่วนของนักการเมืองท้องถิ่นก็จะถูกตรวจสอบแบบนี้เช่นกัน"
นายสรรเสริญ ยังระบุว่า "เราไม่จำกัดว่าเป็นนักการเมืองกลุ่มไหน เราจะดูทั้งหมด ดังนั้น ใครที่คิดจะเข้ามาเล่นการเมือง จากนี้ไปต้องตระหนักให้ดีว่า เขาให้เข้ามาทำงานรับใช้ประชาชน ไม่ได้ให้เข้ามาทำทุจริตแสวงหาผลประโยชน์ ใครที่คิดว่าเป็นนักการเมืองที่ดี ก็ไม่จำต้องต้องกลัวการตรวจสอบของ ป.ป.ช."
ส่วนกรณีที่ประชุม คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวในประเด็นเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ และนายยรรยง พวงราช อดีตรมช.พาณิชย์ นั้น
นายสรรเสริญ ตอบว่า เป็นเพราะ ป.ป.ช. ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวในช่วงที่ นายนิวัฒน์ธำรง และนายยรรยง รับผิดชอบ มีตัวเลขความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท จากตัวเลขเดิมที่ 3.5 แสนล้านบาท จึงเห็นสมควรให้ในการไต่สวนข้อมูลเพิ่มเติม
"การไต่สวนข้อมูลในเรื่องนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่หากผลการไต่สวนชี้ออกมาว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น มีความเกี่ยวข้องกับ นายนิวัฒน์ธำรง และนายยรรยง ก็จะมีการชี้มูลความผิด และเปิดโอกาสให้ชึ้แจ้งข้อกล่าวหา เช่นเดียวกับคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้ดำเนินการไปแล้ว"
รายงานข่าวแจ้งว่า ที่มาของตัวเลขความเสียหายจำนวน 5 แสนล้านบาทดังกล่าว เกิดขึ้นจากไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช.พบว่า การปิดบัญชีของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจํานําข้าวของกระทรวงการคลัง ในครั้งที่ 3 มีผลขาดทุนเป็นจํานวนสูงถึง 3.3 แสนล้านบาท และยังมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปริมาณข้าว จํานวน 2.98 ล้านตัน ที่ไม่สามารถนําเข้ามาสู่กระบวนการปิดบัญชีของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีดังกล่าวได้ เนื่องจากยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า จํานวนข้าวดังกล่าวมีอยู่จริงหรือไม่
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริง ตามรายงานข่าวของสื่อมวลชน กรณีผลการประชุมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลัง ปรากฏว่า คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจํานําข้าว ซึ่งมี นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้ตรวจสอบผลการดําเนินโครงการรับจํานําข้าวในช่วง 2 ปีกว่า (2554/2555, 2555/2556, 2556/2557) พบว่า มีผลขาดทุนสูงขึ้นกว่าเท่าตัว หรือขาดทุนกว่า 5 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาขายต่ํากว่าราคาต้นทุน 1.5 หมื่นบาทต่อตัน
โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้คํานวณต้นทุนข้าวเปลือกที่แปรสภาพเป็นข้าวสาร ไว้เฉลี่ยที่ราคา 2.3 หมื่นบาทต่อตัน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวไปที่ราคา 1.2-1.4 หมื่นบาทต่อตัน และเมื่อเป็นรัฐบาลรักษาการ ได้ขายข้าวไปด้วยราคาเพียงตันละ 8 พันบาทเท่านั้น ทําให้มีส่วนต่างราคาขาย กับราคาต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งทําให้โครงการรับจํานําข้าว ขาดทุนเพิ่มขึ้น เป็นเกือบ 5 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่าข้าวสารหายไปจากสต๊อกอีกราว 2.8 ล้านตัน โดยปรากฏว่า ในสต๊อกไม่มีข้าวอยู่จริง เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น และยังพบว่ามีข้าวเสื่อมคุณภาพอีกจํานวนมาก ที่ยังรอให้เซอร์เวเยอร์ตีราคา ซึ่งหากมีการตีราคาแล้ว คาดว่าจะทําให้ผลขาดทุนโครงการรับจํานําข้าว จะเพิ่มมากกว่า 5 แสนล้านบาท
