มหากาพย์ ‘สมเด็จพระนเรศ-มหาอุปราชา’ เกมชิงเชิงยุทธ (หัตถี)

ตั้งตารอชมถึง 12 ปี สำหรับภาพยนตร์มหากาพย์ ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5’ ตอน ยุทธหัตถี กำกับการแสดงโดย ‘ท่านมุ้ย’ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ซึ่งต้องยอมรับว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มีการค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์อย่างละเอียดที่สุด จนนำมาสู่การสร้างงานคุณภาพควรค่าแก่การอนุรักษ์เป็นสมบัติแผ่นดิน เพื่อให้บรรลุถูกต้องตามเจตนาของผู้สร้างที่หวังจะให้เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาและส่งเสริมให้คนรุ่นหลังเกิดจิตสำนึกรักในถิ่นเกิด
เรื่องราวในศึกยุทธหัตถีเริ่มต้นขึ้น เมื่อพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงทราบข่าวสมเด็จพระมหาธรรมราชาทิวงคต พระองค์ทรงตรัสต่อเหล่าขุนนางว่าการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินของกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถอาจพุ่งรบช่วงชิงความเป็นใหญ่ จึงเห็นควรให้ส่งทัพไปโจมตีทันที
พระองค์จึงตรัสสั่งพระมหาอุปราชาเตรียมทัพร่วมกับพระมหาราชเจ้านครเชียงใหม่เป็นทัพ 5 แสน แต่พระมหาอุปราชาทรงกราบทูลแก่พระบิดาให้เลื่อนการทำศึกออกไป ด้วยโหรทายทักว่าดวงชะตาของตนเองนั้นร้ายนัก ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงกริ้วโกรธมาก ถึงขนาดตรัสว่า
“...ฟังสารราชเอารส ธก็ผะชดบัญชา เจ้าอยุธยามีบุตร ล้วนยงยุทธ์เชี่ยวชาญ หาญหักศึกบมิย่อ ต่อสู้ศึกบมิหยอน ไปพักวอนว่าใช้ ให้ธหวงธห้าม แม้นเจ้าคร้ามเคราะห์กาจ จงอย่ายาตรยุทธนา เอาพัสตราสตรี สวมอินทรีย์สร่างเคราะห์...” (ลิลิตตะเลงพ่าย)
เมื่อสิ้นเสียงกริ้วพิโรธ ได้สร้างความอับอายให้แก่พระมหาอุปราชามาก จึงประกาศต่อหน้าเหล่าขุนนางจะยกทัพทำศึกรบกับสมเด็จพระนเรศวร โดยระหว่างเคลื่อนพลถึงพนมทวนนั้นได้เกิดลมเวรัมภาพัดฉัตรหัก โหรจึงแสร้งทำนายว่าหากเหตุการณ์เกิดก่อนเที่ยงจะเป็นลางร้าย แต่กรณีของพระองค์เกิดช่วงบ่ายถือเป็นศุภนิมิตทำศึกชนะต่ออริราชศัตรู
ฟากสมเด็จพระนเรศวรเมื่อได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนาม ‘สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2 พร้อมแต่งตั้ง ‘มณีจันทร์’ เป็นสตรีคู่บุญบารมีนั้น เมื่อทราบข่าวศึกพม่ารามัญ จึงมีรับสั่งให้เคลื่อนพลสู้ทัพทันที และเมื่อได้ทราบความจากขุนหมื่นว่า ทัพหน้าของไทยได้ปะทะกับข้าศึกแล้ว และมีทีท่าจะต้านทานไว้ไม่ไหว ด้วยทัพพม่ารามัญมีพลจำนวนมาก
สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงไสช้างพระที่นั่งชนข้าศึกก่อนที่จะเกิดพายุใหญ่พัดถาโถม สุดท้ายทั้งสองพระองค์ตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึกพม่ารามัญ เมื่อเป็นเช่นนี้สมเด็จพระนเรศวรซึ่งทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงช้างอยู่ใต้ร่มไม้จึงตรัสชวนทำยุทธหัตถี
“พระพี่พระผู้ผ่าน ภพอุต- ดมเอย
ไป่ชอบเชษฐ์ยืนหยุด ร่มไม้
เชิญราชร่วมคชยุทธิ์ เผยยอเกียรติ ไว้แฮ
สืบกว่าสองเราไสร้ สุดสิ้นฤๅมี (ลิลิตตะเลงพ่าย)”
จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรทรงชนช้างกับพระมหาอุปราชาทันที ทั้งสองฝั่งยื้อยุดจนพม่ารามัญมีแววจะคว้าชัยในการศึกหนนี้ และเมื่อช้างทรงของพระมหาอุปราชาได้ทีได้ล่าง พระมหาอุปราชาจึงใช้พระแสงของ้าวฟันถูกพระมาลาของสมเด็จพระนเรศวร กระทั่งช้างทรงของพระนเรศวรได้เปรียบพม่ารามัญ จึงเป็นโอกาสให้สมเด็จพระนเรศวรเงื้อพระแสงของ้าวฟันพระอังสาของพระมหาอุปราชาขาดสิ้นพระชนม์บนคอช้าง เช่นเดียวกับพระเอกาทศรถที่ชนช้างชนะมางจาชโร พระพี่เลี้ยงพระมหาอุปราชาสิ้นชีพเช่นกัน
“ภูมีมือง่าง้าว ของอน
ฟันฟาดขาดคอบร บั่นเกล้า
อินทรีย์ซบกุญชร เมือชีพ แลเฮย
เผลพระเกียรติผ่านเผ้า พี่น้องสองไท” (ลิลิตตะเลงพ่าย)
ด้วยเนื้อเรื่องอิงประวัติศาสตร์ทำให้ผู้ชมได้รับความเพลิดเพลินไปกับการแสดงของแต่ละตัวละครอย่างดี โดยเฉพาะ ‘ผู้พันเบิร์ด’ พ.ท.วันชนะ สวัสดี ผู้รับบท สมเด็จพระนเรศวร และ ‘ตั๊ก’ นภัสกร มิตรเอม ผู้รับบท พระมหาอุปราชา ที่มีท่วงท่าลีลาการสื่อสารที่เฉียบขาด หนักแน่น สมเกียรติแห่งขุนศึก จนต้องปรบมือให้
รวมถึงความอลังการของฉากต่าง ๆ โดยเฉพาะในศึกสงครามนั้น ค่อนข้างสมจริง ดุดัน ชวนตื่นเต้น เร้าอารมณ์เป็นที่สุด ทำให้เห็นถึงความตั้งใจของทีมงานในการสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ออกมาให้ได้ชม ด้วยไม่ค่อยเห็นในภาพยนตร์ไทยเรื่องอื่นใดบ่อยนัก แม้บางฉากอาจจะไม่สมจริง ดูหลอกตาบ้างก็ตามที
จึงเห็นสมควรอย่างยิ่งที่ภาครัฐควรสนับสนุนให้ไทยมีการสร้างภาพยนตร์ที่ทันสมัย แต่แฝงไปด้วยเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์และแง่คิดที่สามารถนำมาจรรโลงสังคมต่อไปได้ เพราะหากไร้การสนับสนุนจากภาครัฐ คงยากที่จะมีภาพยนตร์เช่นนี้ออกมาให้ได้ยินยลอีก
แต่ในความอลังการ สวยงาม ที่หลายฝ่ายชื่นชมนั้น คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีบางมุมที่ติดขัดอยู่ ยกตัวอย่างเช่น การลำดับภาพ ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนไปไม่ถึงที่สุดในรสอารมณ์ดูดดื่มของแต่ละฉาก แม้จะดูกระชับ รวดเร็ว แต่ไร้ซึ่งอารมณ์ต่อเนื่อง โดยเฉพาะฉากสมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีชนะพม่ารามัญ ได้สร้างอารมณ์ค้างให้แก่ผู้ชมไม่น้อย
สำหรับฉากรักหวานชื่นระหว่างสมเด็จพระนเรศวรกับมณีจันทร์นั้น ก็ดูเหมือนผู้สร้างให้ความสำคัญน้อยกว่าพระราชมนูกับเลอขิ่นเสียอีก ทำให้ผู้ชมไม่เห็นความหวานแช่มช้อยของยอดกษัตริย์นักรบผู้นี้มากนัก โดยเฉพาะความห่วงใยที่มณีจันทร์ควรมีต่อสามียามออกศึกน่าจะมีปรากฏในฉาก
นี่ยังไม่นับรวมฉากการร่ำลาบรรดาเหล่านางสนมของพระมหาอุปราชาก่อนออกศึกรบกับกรุงศรีอยุธยาก็ขาดหายไปเช่นกัน อาจเป็นไปได้ที่ผู้สร้างต้องการสื่อสารเฉพาะประเด็นที่นำไปสู่สงครามยุทธหัตถีมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ศาสตร์แห่งภาพยนตร์ถือเป็นงานศิลปะแขนงหนึ่งที่ไม่มีผิด-ถูก ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคล ซึ่งโดยภาพรวมแล้วนับว่าสื่อสารออกมาดีเชียว เรียกว่าแม่นในข้อมูลประวัติศาสตร์ ละเอียดงานสรรค์สร้าง และสร้างจิตสำนึกรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
เพียงแต่อาจจะ ‘ไม่อิ่ม’ ดั่งที่ใจตั้งหวังไว้ก็เท่านั้น .
