การสานเสวนาเพื่อความปรองดองแห่งชาติ
เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ที่ประเทศไทยอยู่ในวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง ที่มีแนวโน้มว่าจะอยู่กับเราอีกนาน อย่างไรก็ดี ในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 พรรคการเมืองหลายพรรค ได้เสนอนโยบายแห่งการปรองดอง จึงเป็นโอกาสอันดีที่หลายฝ่ายจะได้ช่วยกันเสนอแนวคิดว่า จะทำนโยบายดังกล่าวให้เป็นจริงได้อย่างไร
ในที่นี้ขอเสนอว่า ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีปณิธานทางการเมือง การทำงานอย่างเป็นระบบและจริงจัง ตลอดจนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง ที่สำคัญคือ ทุกภาคส่วนต้องมีเวทีการพูดคุยกันในระดับต่าง ๆ ในลักษณะของการสานเสวนา นั่นคือ ตั้งใจฟัง ใช้สัมมาวาจา เอาใจเขาใส่ใจเรา และเคารพผู้ที่มีความเห็นแตกต่าง แม้การสานเสวนาจะไม่อาจแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อย จะช่วยสร้างความไว้วางใจ ความทนกันได้ (tolerance) และการมองว่าเราควรหาทางร่วมมือกันมากกว่าจะทำเพียงการต่อว่าและกล่าวโทษ
จะเริ่มต้นอย่างไรดี
เราอาจเริ่มต้นจากสิ่งที่ได้ทำไว้แล้ว คือคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) และคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เป็นต้น อย่างไรก็ดี ควรเสริมต่อโดยรวมฝ่ายต่าง ๆให้กว้างขวางยิ่งขึ้น มีที่มาซึ่งเป็นผลจากการตัดสินใจร่วมกันมากขึ้น มีการเชื่อมประสานกัน และมีสำนักงานที่มีบุคลากรเต็มเวลาที่มีคุณภาพและจำนวนเพียงพอต่องานที่สลักสำคัญเช่นนี้
กระบวนการปรองดองที่จะเริ่มกันใหม่อีกครั้งภายหลังการเลือกตั้ง อาจเริ่มที่การประชุมปรึกษาหารือเพื่อสร้างปณิธานทางการเมือง ขอเสนอว่าองค์ประชุมในเบื้องต้นควรประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้าน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธาน คอป. อดีตประธาน คปร. และประธาน คสป. เป็นต้น ที่ประชุมอาจพิจารณาหลักการทำงานของ การสานเสวนาเพื่อความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งอาจรวมหลักการต่อไปนี้….
เป็นการทำงานที่มีอำนาจหน้าที่ และมีความสามารถที่เหมาะสมเพียงพอ, เป็นการทำงานที่รวมฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้มากที่สุด, ใช้การสานเสวนา คือถ้อยทีถ้อยรับฟัง ไม่ด่วนตัดสิน, มีความเป็นอิสระ ในความหมายที่ว่าไม่ถูกแทรกแซงหรือครอบงำโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง, มีความเป็นกลาง (neutral) ในความหมายที่ว่า โดยรวมแล้วไม่ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด, เน้นการเสนอแนะกระบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมือง ที่ทุกฝ่ายอาจเห็นพ้องต้องกันได้, เปิดโอกาสการมีส่วนร่วมในวงกว้าง ทั้งในระดับชุมชน จังหวัด ภูมิภาค และประเทศ
การปรึกษาหารือดังกล่าวอาจตกลงกันในเรื่องกรอบการทำงานของการสานเสวนาเพื่อความปรองดองแห่งชาติ ดังนี้…
อยู่ในครรลองของประชาธิปไตย, มีสถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ,ยึดถือการปกครองของกฎหมาย, เป็นการขับเคลื่อนของประชาชนเพื่อสันติภาพและความเจริญก้าวหน้า, เป็นการร่วมกันสร้างสัญญาประชาคม
การปรึกษาหารือดังกล่าวอาจตกลงกันดังนี้…
1)แต่งตั้งคณะมนตรีเพื่อความปรองดองแห่งชาติ ประกอบด้วยบุคคลที่มาประชุมปรึกษาหารือกันดังกล่าว และตัวแทนของภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตัวแทนพรรคการเมือง ตัวแทนภาคราชการทหารและพลเรือน ตัวแทนภาคธุรกิจ ตัวแทนภาควิชาการ ตัวแทนสื่อสารมวลชน และตัวแทนภาคประชาสังคม เป็นต้น
คณะมนตรีเพื่อความปรองดองแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ดังนี้…
อำนวยการการสานเสวนาเพื่อความปรองดองแห่งชาติ, กำหนดกรอบและโครงสร้างการทำงาน, แต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ, พิจารณาและดำเนินการสนับสนุนงบประมาณ ให้ความเห็นตามที่คณะกรรมการขอปรึกษา พิจารณาและดำเนินการตามที่เห็นสมควรจากข้อเสนอแนะที่ได้รับจากคณะกรรมการ, ประเมินผลการสานเสวนาเพื่อความปรองดองแห่งชาติ
2)กำหนดระยะเวลาการทำงานของการสานเสวนาเพื่อความปรองดองแห่งชาติในเบื้องต้น เช่น 3 ปี แต่อาจขยายเวลาได้อีกตามมติของคณะมนตรีเพื่อความปรองดองแห่งชาติ
3)แต่งตั้งเลขาธิการและรองเลขาธิการของคณะมนตรีเพื่อความปรองดองแห่งชาติ เพื่อ รองรับการทำงานของคณะมนตรีฯ ประสานงานกับคณะกรรมการชุดต่าง ๆ และกำกับดูแลการทำงานของ สำนักงานคณะกรรมการเพื่อความปรองดองแห่งชาติ
4)ให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการเพื่อความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งทำงานแบบเครือข่ายมากกว่าแบบรวมศูนย์ โดยอาจมีส่วนงานดังนี้…
ส่วนงานที่ขึ้นตรงกับคณะกรรมการชุดต่างๆ, ส่วนงานกลาง, ส่วนงานเฉพาะตามความเหมาะสม
การทำงานสามระดับ
ในสถานการณ์ที่มีความหวาดระแวง มีความเห็นต่างอย่างชี้ถูกชี้ผิด และมีการแบ่งข้างแบ่งฝ่ายกันเช่นนี้ เป็นการยากที่จะมีใครยอมใคร และการสานเสวนาเพื่อความปรองดองแห่งชาติจึงเป็นงานที่ยาก และจะมีประสิทธิผลหรือไม่เพียงใดนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความเอาจริงเอาจัง และสนธิพลัง (synergy) ในอย่างน้อยสามระดับคือ…
1)คณะมนตรีเพื่อความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเป็นระดับของการสร้างปณิธานทางการเมืองและความไว้วางใจ, การตัดสินใจทางการเมืองท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างและความระแวงใจสูง แต่พึงยอมรับความเสี่ยงหลังจากที่ได้มีการถกแถลง (deliberation) จนได้ข้อสรุป อย่างน้อยในเชิงกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง, การมีความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปสังคมการเมือง เพื่อประโยชน์สุขในระยะยาว
คณะมนตรีเพื่อความปรองดองแห่งชาติ อาจประชุมไม่บ่อยนัก เช่นปีละ 3-4 ครั้ง เว้นแต่มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องตัดสินใจ
2) คณะกรรมการชุดต่าง ๆ ซึ่งขอเรียกเป็นชื่อรวม ว่าคณะกรรมการเพื่อความ
ปรองดองแห่งชาติ ในเบื้องต้นหมายถึงคณะกรรมการที่มีอยู่แล้ว และควรดำเนินการต่อเนื่องไป เช่น คอป. ดำเนินการเรื่องการปรองดองทางการเมืองเป็นสำคัญ, คปร. ดำเนินการเรื่องการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และทางการปกครองเป็นสำคัญ, คสป. ดำเนินการเรื่องการปฏิรูปทางสังคมเป็นสำคัญ และ, คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งอาจได้รับมอบหมายให้พิจารณาเรื่องกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และอาจรวมเรื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เว้นแต่ว่าเรื่องนี้จะมีการพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการแยกต่างหาก
ทั้งนี้ อาจมีการแต่งตั้งบุคคลเข้าร่วมในคณะกรรมการชุดต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ฝ่ายต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นก็ได้
ในระยะต้น อาจให้เป็นการดำเนินการของคณะกรรมการที่มีอยู่เท่านั้นไปพลางก่อน เมื่อมีความไว้วางใจเพิ่มมากขึ้น และกระบวนการสานเสวนาเพื่อความปรองดองแห่งชาติดำเนินไปด้วยดีในระดับหนึ่งแล้ว ก็อาจมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดอื่นอีก เพื่อมาพิจารณาปัญหายาก ๆ ที่ต้องช่วยกันขบคิด เช่น…
การปฏิรูปภาคความมั่นคง, การปฏิรูปเพื่อความยั่งยืนของสถาบันพระมหากษัตริย์, การประสานอัตลักษณ์ของชาติ ของภูมิภาคและชาติพันธุ์ ฯลฯ
คณะกรรมการชุดต่าง ๆ มีการประชุมกันสม่ำเสมอ เช่นทุกหนึ่งหรือสองสัปดาห์
3)สำนักงานคณะกรรมการเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นสำนักงานให้แก่
คณะกรรมการชุดต่าง ๆ ในลักษณะเครือข่ายมากกว่าการรวมศูนย์ นอกจากหน้าที่โดยทั่วไปที่จะรองรับการทำงานของคณะกรรมการแต่ละชุดแล้ว อาจมีหน้าที่ที่ตอบสนองต่อคณะกรรมการทุกชุดด้วย นอกจากนี้หน้าที่สำคัญของสำนักงานอาจได้แก่…
การศึกษาวิจัย, การสำรวจความคิดเห็น, การจัดให้มี การล้อมวงสานเสวนา ในหัวข้อที่อยู่ในความสนใจของคณะกรรมการ รวมทั้งในหัวข้อเปิด โดยอาจใช้เทคนิคการสานเสวนาที่เรียกว่า การสานเสวนาแบบเปิดพื้นที่ ซึ่งผู้เข้าร่วมสานเสวนาเป็นผู้เลือกหัวข้อเองภายใต้แนวเรื่อง ที่กำหนด แล้วเลือกบางหัวข้อมาลงรายละเอียด โดยใช้การสานเสวนาแบบสภากาแฟ ทั้งนี้อาจจัดให้มีการล้อมวงสานเสวนา ทั้งในระดับชุมชน จังหวัด ภูมิภาค และระดับประเทศ เพื่อการถกแถลงและการเรียนรู้ร่วมกันให้มากที่สุด,
การจัดทำรายงานที่เป็นการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปความคิดเห็นต่างๆ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ, การสื่อสารกับสังคมโดยใช้สื่อต่าง ๆ ในเรื่องที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการแล้ว รวมทั้งรายงานการศึกษาทั่วไป
สำนักงานคณะกรรมการเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ต้องมีบุคลากรประจำที่มีคุณภาพ ที่ทำงานเต็มเวลา ในจำนวนที่มากพอ เพื่อให้งานต่าง ๆ ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
ที่มาภาพ : http://www.nesac.go.th/nesac/upload/newsgovernment/htmlfiles/826-8297.html