อุตฯ เอสเอ็มอี ค้านขึ้นค่าแรง 300 บาท ขู่ปลดคนงานกว่า 3 แสนคน!

12 สมาคมอุตสาหกรรม ตั้งโต๊ะแถลงผลกระทบ 300 บาท เรื่องจริงที่ต้องฟัง พร้อมเปิดตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาท ชี้หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำจริง เล็งปลดคนงานกว่า 3 แสน ทดแทนต้นทุนค่าแรงพุ่ง
วันที่ 1 สิงหาคม 12 สมาคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย สมาคมเครื่องเรือนไทย, สมาคมเครื่องเขียน และเครื่องใช้สำนักงานไทย, สมาคมสินค้าของตกแต่งบ้าน, สมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย, สมาคมไทยพัฒนาการปลูกป่าเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไม้, อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สมาคมโรงเลื่อยจักร, สมาคมการค้าเครื่องใช้ในครัวเรือนไทย, สมาคมอุตสาหกรรมของเล่นไทย, สมาคมของขวัญของชำร่วยไทย และของตกแต่งบ้าน, สมาคมธุรกิจไม้, สมาคมอุตสาหกรรมไม้ยางพาราตะวันออก ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับผลกระทบ และแนวทางการแก้ไขปัญหาค่าแรง 300 บาท รวมถึง การปรับเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ หลังจากคาดว่าจะเกิดผลกระทบและความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาท จึงร่วมกันหารือและวางแนวทางในการแก้ปัญหา ณ ห้อง โมเน่ต์-พิซซาโร่ ชั้น 4 โรงแรม โนโวเทล สยามสแควร์
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเรือนไทย เปิดเผยข้อมูลความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการปรับค่าแรง 300 บาทตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่า กลุ่ม SMEs เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงในอันดับต้นๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องนุ่งห่ม ที่มีอัตราการจ้างแรงงานมาก โดยการปรับค่าแรงเป็น 300 บาท จะทำให้ต้นทุนค่าแรงจาก 30-35% สูงขึ้นเป็น 35-40% ทันที ซึ่งคาดว่าจะทำให้ต้นทุนรวมสูงขึ้นจากฐานเดิม 12-16% โดยตัวเลขนี้ทางผู้ประกอบการไม่สามารถที่จะยอมรับได้ ส่งผลให้จำเป็นต้องปลดจำนวนพนักงาน
“เรามีจำนวนคนงาน 9 แสนกว่าคน ในส่วนผลกระทบมีการคำนวณไว้ว่าประมาณ 30% ประมาณ 3 แสนคนที่ต้องโดนปลดทันที ซึ่งจำนวน 3 แสนคนต้องถือว่าเป็นตัวเลขที่มาก แต่ที่ต้องปลดออกเป็นความจำเป็นใหญ่หลวง เนื่องจากว่าภาระของต้นทุน ผู้ประกอบไม่สามารถเพิ่มเป็น 12-16% จากการส่งออกที่แข่งขันในระดับโลกได้ รวมถึงในส่วนของค่าแรงที่ต้องปรับเพิ่มขึ้น 30-40% เพราะฉะนั้นพนักงานจะต้องโดนปลดออก เพื่อสามารถรักษาต้นทุนอยู่ได้ ซึ่งแรงงานที่ต้องถูกปลดไปก็เป็นปัญหาของประเทศที่รุนแรงต่อไป และส่งผลให้พนักงานที่อยู่ต้องทำงานหนักขึ้น"
นายอารักษ์ กล่าวอีกว่า ราคาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลต่อการปรับขึ้นราคาขายสินค้า ทำให้การแข่งขันในตลาดโลกของไทยลดลง และเสี่ยงต่อการถูกยกเลิกคำสั่งซื้อ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านยังไม่มีการปรับราคา ซึ่งการปรับราคาสินค้าขึ้นทันทีไม่สามารถทำได้กับการส่งออก เพราะต้องมีการสั่งสินค้าล่วงหน้า 6 เดือนหรือ 1 ปี ฉะนั้นอาจทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาท
ด้านนางดวงใจ คูห์ศรีวินิจ นายกสมาคมของเล่นไทย กล่าวว่า การที่ค่าแรงสูงขึ้น เป็นการเสียโอกาสในการส่งออก เพราะราคาต้นทุนย่อมสูงตาม ส่งผลสะเทือนไปถึงราคาสินค้า ซึ่งอัตราที่สูงขึ้นนั้นทำให้ลูกค้าต่างประเทศไม่สามารถยอมรับได้จนทำให้การสั่งสินค้าถูกยกเลิก
“เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา รายได้การส่งออกของไทยสูงขึ้น สาเหตุหนึ่งมาจากที่ประเทศจีนมีค่าแรงที่สูงขึ้น แต่เมื่อค่าแรงของไทยขึ้นเป็น 300 บาท ต้องเตรียมตัวไว้เลยว่า การสั่งสินค้าจะถูกไหลไปที่อื่น สิ่งที่กังวล คือผลกระทบที่จะกลับมา เมื่อไม่มีการสั่งซื้อเข้ามานั่นก็หมายถึงไม่มีงาน แรงงานก็จะไม่มีงานทำ สุดท้ายแล้วต้องเลิกจ้าง จนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ต่อไป”
ด้านผลกระทบต่อการขึ้นเงินเดือนปริญญา 15,000 บาท นั้น นายศิริชัย เลิศศิริมิตร นายกสมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้าน กล่าวว่า บุคลากรอาชีวะนั้นมีส่วนสำคัญในขั้นตอนการผลิต หากมีปรับเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท แรงงานส่วนนี้ก็จะยิ่งขาดแคลนลง
“ปัจจุบันในส่วนของการผลิตนั้นต้องการบุคลากรที่เกี่ยวกับเรื่องอาชีวะ ต้องการคนที่มีฝีมือในเรื่องของอาชีพนั้น และผู้ที่มีความชำนาญโดยตรง ซึ่งเมื่อมีการปรับขึ้นเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท บุคลากรเหล่านี้ก็จะย้ายไปเรียนในระดับปริญญาตรีทั้งหมด”
นอกจากนี้ มีตัวแทนของกลุ่มสมาคม แสดงความเห็นถึงการศึกษาในระดับปริญญาตรี ในส่วนของสาขางานไม้ หรือของตกแต่ง ยังไม่มีการสนับสนุนที่เพียงพอ ซึ่งจะส่งผลให้ยิ่งขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะโดยตรง เพราะในระดับปริญญาตรีไม่มีสาขารองรับเกี่ยวกับเครื่องเรือนไทย หรือเกี่ยวกับงานไม้ ซึ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาที่ตามมาอีก
ทั้งนี้ในช่วงท้าย 12 สมาคมอุตสาหกรรมได้หารือ และสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อการดำเนินนโยบายการขึ้นค่าแรง 300 บาท ซึ่งจะมีการส่งต่อให้กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกลุ่มหอการค้าไทย ในวาระที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจะเสนอต่อนายกรัฐมนตรีทันทีที่มีการจัดตั้งรัฐบาล
แนวทางการแก้ปัญหา 3 แนวทางได้แก่
1.สมาคมเข้าใจปัญหาผู้ใช้แรงงาน แต่ผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ จึงไม่เห็นด้วยกับการนำนโยบายนี้มาใช้อย่างทันทีทันใด แต่
เห็นด้วยที่จะใช้รูปแบบของคณะกรรมการไตรภาคีตามกฎหมาย (นายจ้าง ตัวแทนลูกจ้าง และตัวแทนจากกระทรวงแรงงาน) ขึ้นมาพิจารณา
ค่าแรงดังเดิมโดยจะต้องปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง
2.ข้อเสนอให้มีการประชุมร่วมกัน เพื่อกำหนดการปรับค่าแรงอย่างมีระบบและเป็นขั้นบันได ตามที่คณะกรรมการไตรภาคีเห็นชอบ เพื่อให้
ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ในตลาดโลก
3. 12 สมาคมเห็นด้วยในการเพิ่มคุณภาพชีวิตแรงงาน โดยรัฐบาลจะต้องให้การช่วยเหลือด้านการเงินแก่แรงงานโดยตรง โดยไม่ต้องผ่าน
ผู้ประกอบการซึ่งอาจจะจ่ายผ่านรูปแบบของประกันสังคม (คล้ายกับการจ่ายสงเคราะห์บุตร) ที่ไม่ส่งผลต่อราคาสินค้าต่างๆ ที่จะต้องก้าว
กระโดดจากการปรับค่าแรง รวมถึงเป็นการลดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง อีกทั้งไม่กระทบต่อค่าแรงของแรงงานต่างด้าว ที่ต้องปรับตาม
สนธิสัญญาสากดด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลสามารถลดการชดเชยลงตามการปรับตัวของค่าแรงตามมติคณะกรรมการไตรภาคี
