ด้วยความหวัง...“ศาลสิ่งแวดล้อม” ประสาธน์ความยุติธรรม เยียวยาคน-สังคม
จากคดี นายทองนาค เสวกจินดา แกนนำต่อต้านโรงงานถ่านหินที่สมุทรสาคร ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน คดีนี้ก็เริ่มคลี่คลาย เมื่อตำรวจสามารถจับกุมทีมสังหารได้แล้ว 3 คน กอรปกับล่าสุดศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ระงับการประกอบกิจการถ่านหินทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการลำเลียง การเก็บ การขนถ่าย การขนส่ง หรือการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ความรับผิดชอบของ อบต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร
ข้างต้นถือเป็นข่าวที่สะท้อนให้เห็น ข้อพิพาทและความขัดแย้งที่เกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ “คดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม” ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ สังคม เศรษฐกิจและสาธารณชนในวงกว้าง ที่สำคัญยิ่ง คดีปกครองประเภทนี้ จะต้องมีกระบวนพิจารณาคดีโดยเร่งด่วน ให้ทันต่อการแก้ไขและเยียวยาความเดือดร้อนแก่คู่กรณี
ด้วยเหตุนี้ การเปิดทำการ “แผนกคดีสิ่งแวดล้อม” ในศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค พร้อมกันทั่วประเทศ ถือฤกษ์ 2 สิงหาคม 2554 นับได้ว่า เป็นอีกก้าวย่างหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย
ดร.หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด อธิบายไว้ชัดในเว็บไซต์http://www.admincourt.go.th/00_web/00_Gallery/s-page3.htm ถึงการเปิดแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ถือเป็นภารกิจหนึ่งที่ต้องเร่งรัดและดำเนินการ ซึ่งก็เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ศาลปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2554-2557 ที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
“การจัดตั้งแผนกสิ่งแวดล้อมในศาลปกครอง เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้ระบบไต่สวน ลด และเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาและงานธุรการคดี ให้คดีแล้วเสร็จโดยเร็ว ทันต่อการเยียวยาความเดือดร้อน เสียหาย และการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอีก ขณะที่บุคลากร ที่ผ่านมาศาลปกครองได้พัฒนาบุคลากรและเสริมสร้างความเชี่ยวชาญมาเป็นลำดับอย่างต่อเนื่องแล้ว”
ดังนั้น ทำให้สบายใจได้ว่า บุคลากรของศาลจะสามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นธรรมและรอบด้าน
ในฐานะโฆษกศาลปกครอง นายไพโรจน์ มินเด็น ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงการเปิดทำการแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ว่า หมายรวมถึงศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองชั้นต้น คือศาลปกครองกลาง และศาลปกครองภูมิภาคอีก 9 แห่ง เปิดให้บริการประชาชนที่จะมาฟ้องในคดีสิ่งแวดล้อมโดยตรง
ขณะเดียวกันมีการแบ่งแยกความเชี่ยวชาญออกมาเฉพาะเรื่อง เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว เฉพาะเจาะจง รวมทั้งมีตุลาการและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงในการทำคดี จึงนับว่าจะเป็นมาตรฐานสำหรับการพิจารณาคดีอื่นๆ ที่อาจจะจัดตั้งศาลแผนกคดีเฉพาะเช่นนี้ขึ้น ในอนาคต
ส่วนวิธีการพิจารณาคดี เนื่องจากเป็นการฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฉะนั้น การต่อสู้คดีจึงเกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเอกชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีทั้งความรู้ กฎหมาย และมีอำนาจอยู่ในมือ ในขณะที่ภาคเอกชนไม่มีอะไรเลย การพิจารณาคดี จึงไม่ใช้ "ระบบกล่าวหา" อย่างที่ศาลยุติธรรมใช้ แต่จะใช้ "ระบบไต่สวน" เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในคดีปกครอง
อีกทั้ง การพิจารณาจะมีความยืดหยุ่น และมีลำดับขั้นในการพิจารณาอีกด้วย
ย้อนกลับไปดูเส้นทางการเกิดขึ้นของ “ศาลสิ่งแวดล้อม ในประเทศไทย” ก่อนหน้านี้ ศาลยุติธรรมได้ให้ความสำคัญ นำร่องจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นในศาลฎีกาเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2548 เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีสิ่งแวดล้อม
ต่อมา มีการจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ถึง ภาค 9 เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีสิ่งแวดล้อมที่ขึ้นสู่ชั้นศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 จนกระทั้งวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นในศาลแพ่ง
เรื่องนี้ นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการ ศาลยุติธรรม เริ่มต้นทำความเข้าใจ โดยชี้ให้เห็นขอบข่ายความรับผิดชอบของศาลยุติธรรม ซึ่งมีความแตกต่างกับศาลปกครองในเรื่องเขตอำนาจ โดยศาลยุติธรรมจะเป็นเขตอำนาจทั่วไป พิจารณาทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง แต่ศาลปกครองจะพิจารณาคดีหน่วยงานของรัฐกับเอกชน
“สถิติการพิจารณาคดีจากศาลชั้นต้น มีกว่า 1 ล้านคดีต่อปี ศาลอุทธรณ์ประมาณ 1 แสนคดีต่อปี ขณะที่ศาลฎีกาประมาณ 1 หมื่นคดีต่อปี โดยส่วนมากเป็นคดีระหว่างประชาชนกับเอกชน ซึ่งในจำนวนคดีที่เข้าสู่การพิจารณาศาลชั้นต้นประมาณ 1 ล้านคดีนั้น มีคดีสิ่งแวดล้อมรวมอยู่ด้วย”
และด้วยเหตุนี้เอง ศาลยุติธรรมจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญ อีกทั้ง พบปัญหาด้วยว่า คดีสิ่งแวดล้อมมีความหลากหลาย ซับซ้อนมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 1-9 และศาลแพ่ง ในที่สุด ...
นายสราวุธ อธิบายเพิ่มเติม ถึงสาเหตุที่เริ่มตั้งศาลแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกาก่อนว่า เพื่อต้องการที่จะวางหลักวิธีการพิจารณาและหลักกฎหมายให้มีความแน่นอน จึงเริ่มต้นที่ศาลสูง ถัดจากนั้นก็มีการตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นในศาลอุทธรณ์ภาค 1-9 ที่รับผิดชอบตามเขตพื้นที่จังหวัดในแต่ละภาค และเมื่อเห็นการวางโครงสร้างและดำเนินการอย่างชัดเจนแล้วจึงได้จัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นในศาลแพ่ง พร้อมออกคำแนะนำของประธานศาลฎีกาในการพิจารณาคดีด้วย
“ในส่วนของคดีแพ่งที่ฟ้องร้องคดี ส่วนมากจะเกี่ยวกับการทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือขอให้กระทำและงดเว้นการกระทำเพื่อรักษาธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมในชุมชนเป็นหลัก”
เมื่อถามถึงวิธีการพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม นายสราวุธ บอกว่า เนื่องจากมีคดีจำนวนมาก และกระบวนการพิสูจน์ก็เป็นเรื่องสำคัญ “ศาลจึงเน้นการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นหลัก” โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้ข้อมูลความถูกต้องเหมาะสม แต่หากไกล่เกลี่ยไม่ได้ ศาลสามารถพิจารณาโดยเรียกสืบพยานเพิ่ม หรือเผชิญสืบในพื้นที่ต่างๆ ได้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น
“กระบวนการพิจารณาคดีจะต้องเป็นไปอย่างบูรณาการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการแสวงหาข้อเท็จจริง แต่ก่อนที่จะพิจารณาคดีใดๆ ออกไป ศาลจะคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอนาคต รวมทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย”
มุมคิดของนักวิชาการผู้คลุกคลีอยู่กับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่าง อาจารย์เดชรัต สุขกำเนิด จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และอดีตเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ให้ทัศนะถึงการตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมทั้งในศาลศาลยุติธรรม และศาลปกครองสูงสุด ว่า จะมีส่วนช่วยทำให้การพิจารณาคดีความมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่จะมีความสำคัญมากที่สุดสำหรับประชาชน คือ “วิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม” สำคัญมากกว่าการจัดตั้งศาลแยกตัวออกมา
เขาเห็นว่า แนวทางพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม ไม่ควรใช้วิธีการกล่าวหา เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ เช่น คดีกรณีเกิดอุบัติภัย สารเคมีระเหยที่ต้องมีเครื่องมือตรวจวัด ดังนั้น การที่ประชาชนจะฟ้องร้อง กล่าวหาฝ่ายรัฐ หรือฝ่ายเอกชนที่มีข้อมูลและเครื่องมือตรวจวัด จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
“การพิจารณาคดีศาลจะต้องเข้ามาทำหน้าที่ไต่สวน เรียกพยานหลักฐาน คู่ความและผู้ที่เกี่ยวข้อง บางกรณีศาลอาจจะต้องลงพื้นที่และเผชิญสืบด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการจัดตั้งศาลฯ ขึ้นมา แต่หากจัดตั้งขึ้นมาแล้วทำให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้นก็จะเป็นการดี แต่ต้องไม่ลืมปรับปรุงวิธีการพิจาณาคดีด้วย”
“การฟ้องร่วม” เป็นอีกหนึ่งแนวทาง ที่อาจารย์เดชรัต ได้เสนอไว้ สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบเดียวกัน ให้ได้รับผลชดเชยหากมีการตัดสินคำฟ้อง และช่วยลดภาระของประชาชนในการฟ้องร้องคดี
นับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะหลายครั้งประชาชนไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการเหล่านี้ หรืออาจมีความกังวลอิทธิพลต่างๆ และปัญหาดังกล่าวนี้ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ความล่าช้าในกระบวนการศาลยุติธรรม นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ยังย้ำด้วยว่า ประชาชนไม่ควรหวังพึ่งกระบวนการยุติธรรมเพียงอย่างเดียว แต่กระบวนการยุติธรรมที่ดีก็เป็นตัวบังคับให้กระบวนการอื่นๆ มีความรับผิดชอบมากขึ้น การใช้กระบวนการยุติธรรมจึงเป็น “ปลายทาง” และเป็นปลายทางที่สำคัญที่จะควบคุมให้ต้นทาง และกลางทางเอาจริงเอาจังมากขึ้น
ฉะนั้น ทุกศาลจึงควรดำเนินการในมาตรฐานเดียวกันทั้งกรณีฟ้องภาคเอกชน และกรณีที่รัฐบาลฟ้องประชาชน รวมถึงเอาจริงเอาจังกับผู้ประกอบการหรือทำให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมด้วย...
ขณะที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน แสดงความเป็นห่วง “กระบวนการพิจาณาคดีสิ่งแวดล้อม” ที่มีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมากว่า การพิจาณาคดีควรแสวงหาข้อเท็จจริง หรือข้อมูลด้วยตัวของศาลเอง รวมทั้งสามารถเร่งรัดระยะพิจารณาคดี หรือการไต่สวนให้เร็วขึ้น การจัดตั้งศาลฯ จึงจะเป็นประโยชน์
ข้อสำคัญ หากจะทำให้ชาวบ้านเกิดความเชื่อมั่นในคดีสิ่งแวดล้อม และเชื่อมั่นว่าองค์คณะที่รับผิดชอบมีความเข้าใจในคดีอย่างแท้จริง ตุลาการที่จะมาพิจารณาคดีจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงได้รับการฝึกอบรมดูงานทั้งในและต่างประเทศในด้านสิ่งแวดล้อมด้วย
“ศาลปกครองยังไม่ให้ความชัดเจนในการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลคดีสิ่งแวดล้อมมากนัก ดังนั้น ศาลปกครองควรออกมาให้ข้อมูลที่ชัดเจน และอธิบายรายละเอียดกับสาธารณชน เพื่อให้ชาวบ้านมีความเข้าใจและเตรียมตัวเกี่ยวกับกระบวนการของศาลปกครองสูงสุดแผนกคดีสิ่งแวดล้อมนี้มากขึ้น” นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน บอกถึงสิ่งที่ยังกังวล ทิ้งท้าย
ดาวน์โหลดข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับคำแนะนำของประธานศาลปกครองสูงสุด ในการดำเนินคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ได้ที่