เสียงจากคนข้างล่าง จดหมายเปิดผนึก ถึง คสช.
แม้ขณะนี้บุคคลจะถูกจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายอื่นใด ดังที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรนูญ พ.ศ. 2550 ม.45 จากการออกประกาศ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 12, 14 และ 18 แต่ผมเชื่ออย่างสุจริตใจว่า ถึงเราจะอยู่ในช่วงของการจำกัดเสรีภาพทางความคิด แต่นั่นมิได้หมายความว่าเราจะไม่รู้จักการฟัง โดยตั้งท่าปฏิเสธ และแบ่งข้างป้ายสีให้เป็นพวกต่อต้านเพียงเพราะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง

เสียงจากคนข้างล่าง เป็นการนำคำตอบจากการตั้งคำถามหนึ่งข้อที่ว่า “หากมีพร 3 ข้อท่านจะขออะไร? กับ คสช.” จากคนเล็กคนน้อยจำนวน 8 คน ซึ่งมีที่มาจากหลากหลายทั้งเป็นนายกอบต. จากเครือข่ายองค์กรชุมชนหลายภาค จากสภาองค์กรชุมชนตำบล หรือจากเครือข่ายจังหวัดจัดการตนเอง ที่ต่างแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีเจตนาคัดค้านหรือต่อต้านการรัฐประหารแต่อย่างใด เพียงแต่พวกเขาคาดหวังกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ที่เป็นเสมือนโอกาสของการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ด้วยความมุ่งหวังมีส่วนร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ที่เกิดจากการกำหนดอนาคตร่วมกันของชุมชนท้องถิ่นเอง
นายกนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน นายกองค์การบริหารส่วน ต.แม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ แสดงทัศนะว่า 1) ให้คสช. ลงมาฟังคนข้างล่างให้เยอะขึ้น อย่าฟังเพียงข้าราชการหรือชนชั้นนำส่วนบนเพียงอย่างเดียว ด้วยการรับฟังอย่างจริงใจ และนำไปเป็นข้อมูลในการแก้ไข 2) ตัดสินใจแก้กฏหมายในหลายๆเรื่อง ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน ตามอำนาจหน้าที่ที่มี 3) เมื่อบ้านเมืองเข้ารูปเข้ารอยแล้ว ต้องการให้มีการเลือกตั้งกลับคืนมาโดยเร็ว
คล้ายกับความคิดเห็นของ นายชาติชาย เหลืองเจริญ เครือข่ายองค์กรชุมชนบ้านจำรุง ต.เนินฆ้อ อ.แกลง จ.ระยอง ที่ระบุว่า 1) คสช.ต้องตั้งใจฟังเสียงจากประชาชนคนข้างล่างอย่างตั้งใจ 2) ต้องพาสังคมไทย กลับคืนสู่สังคมปรกติสุขอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 3) ในช่วงที่มีอำนาจ ณ ขณะนี้ ควรจัดการระบบกฏหมายที่มีข้อติดขัดสองมาตรฐานให้เป็นมาตรฐานเดียว
นอกจากเรื่องการรับฟังอย่างจริงใจแล้ว ชาวบ้านบางคนมีความคาดหวังให้ คสช.ช่วยแก้ปัญหาที่ดิน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในกระแสความสนใจ อย่างนายละอองดาว สีลาน้ำเที่ยง ชาวบ้าน ต.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ระบุว่า 1) ต้องกระจายการถือครองที่ดินให้กับคนยากจนและผู้ยากไร้ ที่ปัจจุบันมีการถือครองเพียงไม่กี่คน ทุกคนต้องอยู่บนดินแต่บางคนไม่มีดินจะอยู่ 2) เพราะคนส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรม อยากให้พยุงสินค้าการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ 3) อยากให้ดูแลเรื่องพลังงาน เพราะพลังงานเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตและการทำมาหากิน ราคาพลังงานที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนต่างๆเพิ่มขึ้นตามมา
นายสมศรี ทองหล่อ เครือข่ายภูมิปัญญาพื้นบ้าน ต.ร่อนทอง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ มองว่า 1) ควรจัดการที่ดินให้เป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการครอบครอง 2) อยากให้เก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า 3) ให้ชุมชนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการดูแลรักษาทรัพยากรดิน น้ำ ป่า บริหารจัดการด้วยตนเองในทุกด้าน นอกจากนี้ควรเปิดเผยข้อมูลที่ดินในเขตทับซ้อน เขตอุทยานให้ชุมชนท้องถิ่นร่วมรับรู้ และวางแผนความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นในการสำรวจและกำหนดแนวเขตร่วมกัน โดยให้ชุมชนท้องถิ่นดำเนินการด้วยตนเอง โดยเจ้าหน้าที่เป็นเพียงผู้อำนวยการ รวมทั้งให้ท้องถิ่นสามารถออกข้อบัญญัติในการจัดการที่ดินได้
ในเรื่องของการกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นกำหนดอนาคตตนเองก็เช่นกัน เป็นความสนใจที่ชาวบ้านอยากให้เกิดขึ้นจริง อย่างความคิดเห็นของนางฑิฆัมพร กองสอน ประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลบัวใหญ่ อ.นาน้อย จ.น่าน ที่กล่าวไว้ว่า 1) ให้กระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่นถึงระดับตำบล ไม่ว่าจะเรื่องการจัดการที่ดิน การจัดการทรัพยากร การบริหารต่างๆนานาให้ท้องถิ่นจัดการตนเอง 2) ให้ชักชวนองค์กรต่างๆที่ทำเรื่องฟื้นความดี ความรับผิดชอบ ความความซื่อตรงมาร่วมกันทำงาน เพราะปัญหาทั้งหมดนั้นเกิดจากคนขาดคุณธรรม จริยธรรม 3) ความเข้าใจที่แตกต่างซึ่งกันและกันจะลดความขัดแย้งลง ถ้าโครงสร้างอำนาจที่อยู่ตรงกลางกระจายให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง และอยากเห็น คสช.ร่วมมือกับภาคี เครือข่าย องค์กร หน่วยงานต่างๆ ชวนมาร่วมกันทำงานปฏิรูป
นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ เครือข่ายจังหวัดจัดการตนเอง มีมุมมองว่า คสช.ควร 1) กระจายอำนาจให้กับชุมชนท้องถิ่น ให้กับประชาชนในการพัฒนาสังคม 2) ระวังกับการอยู่ในอำนาจไม่ควรยึดติดในอำนาจ เพราะว่าอำนาจจริงๆแล้วไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมได้จริง เนื่องจากปัญหาปัจจุบันมีความสลับซับซ้อนมาก 3) การเปลี่ยนแปลงสังคมหรือทำให้สังคมเข้มแข็งได้จริงต้องใช้พลังร่วมจากทุกฝ่ายมาร่วมกันพัฒนาสังคมนี้จึงจะสำเร็จ
ส่วนที่พูดตรงๆ อย่าง นางปฐมมล กัณหา เครือข่ายองค์กรชุมชนจังหวัดสระบุรี ระบุว่า คสช.ควร 1) คืนอำนาจให้กับประชาชนโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ 2) อยากให้เห็นเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ตัดสินใจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดบนฐานของการรัฐประหาร 3) ให้ยึดเอาปัญหาความเดือนร้อนของประชาชนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้สิ้น หนี้นอกระบบ ปัญหาความยากจน เป็นต้น
นอกจากนั้น นายจินดา บุญจันทร์ ประธานที่ประชุมในระดับชาติสภาองค์กรชุมชนตำบล แม้ไม่ได้บอกหรือขอพรที่ชัดเจนกับ คสช. แต่ได้แสดงความคิดในเชิงหลักคิดว่า คสช. ต้องเชื่อมั่นการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยจากข้างล่าง ถ้าไม่เปลี่ยนจากฐานรากไม่มีทางสำเร็จ 2) พลังขององค์กรภาคี หน่วยงานต่างๆ ที่รวมกับภาคประชาชน ต้องเอาชุมชนฐานล่างเป็นแกนหลัก 3) การปฏิรูปจะต้องสามัคคีทุกภาคส่วนให้ได้ ถ้าสามัคคีเพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือว่าไม่ใช่เป็นการปฏิรูปอย่างแท้จริง โดยเป้าหมายหลักตอนนี้อยู่ที่สร้างการเมืองภาคพลเมืองให้เกิดขึ้นจริง
ทัศนะทางความคิดของคนเล็กคนน้อยดังกล่าว อาจเป็นความคิดมุมมองที่ตรงไปตรงมาแบบชาวบ้าน ที่อยากเห็นเรื่องของการเปิดรับฟังความคิดเห็น การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม อยากเห็นการกระจายอำนาจ อยากเห็นการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน การแก้ปัญหาปากท้อง ซึ่งพวกเขาไม่ได้ร้องขอเพียงอย่างเดียว แต่ได้ลงมือทำไปพร้อมกันด้วย
หวังว่าเสียงจากคนข้างล่าง คงไม่ใช่ "เสียง" ที่ไม่ได้ "ยิน" เพียงเพราะเป็นเสียงที่ไม่ได้ “ฟัง”
