เครือข่ายต้านคอร์รัปชั่น ประกาศสวมบท 'หมาเฝ้าบ้าน' ระวังทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง

“ดุสิต” บอกภารกิจภาคีเครือข่ายฯ เป็น Watch dog เฝ้าระวังพฤติกรรมทุจริต พร้อมแล้วตั้งสนง.รับเรื่องคอร์รัปชั่น ลั่นทำงานได้ทันที หนุนก.คลัง ช่วยดูราคากลาง-จัดซื้อจัดจ้างอีกแรง พร้อมจี้ ป.ป.ช.เดินหน้าสอบสินบนเหล้า
วันที่ 3 สิงหาคม ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น (ภตค.) จัดแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการภาคีเครือข่ายฯ ครั้งที่ 3 ณ ห้องประชุมปัญญาพล ชั้น 8 ธนาคารกสิกรไทย สาขาพหลโยธิน โดยมี นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษาภาคีเครือข่ายฯ และ ดร.ธวัชชัย ยงกิตติกุล สมาคมธนาคารไทย และคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม ร่วมแถลง
ดร.ธวัชชัย กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการภาคีเครือข่ายฯ ว่าภารกิจหลักๆ ของภาคีเครือข่ายฯ สามารถสรุปได้ 3 ประเภท ได้แก่ 1.ทำหน้าที่เป็น Watch dog คอยเฝ้าระวังพฤติกรรมหรือกรณีที่ส่อเค้าในทางว่าจะมีความไม่ถูกต้องมีการทุจริต และมีการเรียกร้องให้ประชาชนตื่นตัวและผู้ที่มีมีความรับผิดชอบเข้าไปดูแลจัดการ 2.สร้างความตื่นตัวให้ประชาชน เพราะการต่อต้านคอร์รัปชั่นเป็นหน้าที่ของทุกคน และถ้าทุกคนทราบถึงความเลวร้ายของปัญหาคอรัปชั่นจะสามารถที่จะร่วมมือช่วยเหลือกันได้ 3.ให้ความรู้ในโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้คนรุ่นใหม่เห็นความสำคัญของความซื่อสัตย์ และให้ความสำคัญของการกระทำที่มีความตรงไปตรงมา ประเทศจะเจริญไม่ได้ถ้าประชาชนขาดความซื่อตรงขาดความซื่อสัตย์
“ทั้งนี้ ยังมีกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้กับเอกชน นิสิต นักศึกษาและนักธุรกิจ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ร่วมกันดูแลสอดส่อง ป้องกันการคอร์รัปชั่น อีกทั้งจะจัดตั้งสำนักงานศูนย์ภาคเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นขึ้นชั่วคราว ที่หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางดำเนินการ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมการต่อต้านคอร์รัปชั่นอย่างต่อเนื่อง”
ขณะที่นายดุสิต กล่าวว่า ในส่วนของการทำงานภายหลังจากที่มีข้อร้องเรียนทางภาคีเครือข่ายจะวิเคราะห์ และตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีมูลความจริง หรือเป็นการกลั่นแกล้ง หลังจากนั้นจะนำเรื่องงส่งต่อไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นต้น
ส่วนเรื่องร้องเรียนด้านทุจริตคอร์รัปชั่นขณะนี้ นายดุสิต กล่าวว่า มีเข้ามาค่อนข้างมาก แต่ยังสับสน และยังไม่ชัดเจน เป็นประเด็นจริง หรือเป็นการกลั่นแกล้ง โดยเรื่องร้องเรียนที่พบส่วนมากเป็นเรื่องการก่อสร้าง ประมูล ที่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งต้องผ่านการวิเคราะห์ที่ชัดเจนอีกครั้ง คาดว่าภายหลังการจัดตั้งสำนักงานภาคีเครือข่ายฯ แล้วจะสามารถรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นหมวดหมู่ เพื่อวิเคราะห์ กลั่นกรอง ก่อนที่จะนำเรื่องส่งต่อที่ ป.ป.ช. ทั้งนี้ ภาคีเครือข่ายฯ พร้อมและสามารถเริ่มงานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ประธานภาคีเครือข่ายฯ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ชื่นชมและเห็นด้วย คือ การที่กระทรวงการคลัง ดำเนินโครงการนำร่องตามแนวร่วมปฏิบัติต่อต้านทุจริต ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Collective Action) ดูแลเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งทางภาคีเครือข่ายฯ ก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยสนับสนุนเรื่องราคากลาง เพื่อให้การทำทุจริตคอร์รัปชั่นทำได้อย่างยากลำบากมากขึ้น
สำหรับแผนการทำงานของภาคีเครือข่ายฯ กับรัฐบาลใหม่ นายดุสิต กล่าวว่า จะติดตามข้อเสนอ 7 ข้อของว่าที่รัฐบาลที่ได้นำเสนอออกมาก่อนหน้านี้ ว่า ปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่
จากนั้น นายดุสิต ได้ตอบข้อซักถามในประเด็นข่าวการทุจริตที่บริษัทต่างชาติผู้นำเข้าสุราสัญชาติสหรัฐฯ จ่ายสินบนให้กับนักการเมืองไทยว่า ประเด็นนี้ ป.ป.ช.ไม่ควรนิ่งเฉย จะต้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้มีความโปร่งใส จริงเท็จประการใดต้องพิสูจน์และแถลงให้ชัดเจนต่อสาธารณชน
“ขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช.แสดงบทบาทใหม่ของตัวเองออกมา เพื่อความเข้มแข็ง ด้วยเพราะขณะนี้ ป.ป.ช.มีกฎหมายใหม่ (พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554) ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งกฎหมายนี้จะช่วยยกระดับภารกิจการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล ป.ป.ช.จึงไม่จำเป็นต้องรอความชัดเจนอะไรก็สามารถเดินหน้าพิสูจน์ให้สังคมทราบได้ ในส่วนของหอการค้าไทย หากสมาชิกกระทำผิดจริงก็จะต้องปลดจากสมาชิกหอการค้าไทย”
ด้านนายสมพล กล่าวเสริมว่า เนื่องจากคณะกรรมการภาคีเครือข่ายฯ ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย แต่จะทำหน้าที่ติดตามและเฝ้าระวัง เป็น Watch dog เป็นการชี้ชัดว่า มีโครงการใดที่ไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากก็จะไปประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้อง นอกจากเข้าไปมีส่วนร่วมในการพิจารณาราคากลางแล้ว ก็จะพิจารณาการตรวจรับงาน และทำงานเชิงรุกมากขึ้นกับทุกโครงการในสังคมที่มีความไม่ชอบมาพากล ซึ่งหวังว่าจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ปิดกั้นผู้ที่จะกระทำผิดเช่นนี้ได้
