อ.วิศวะ จุฬาฯ หวั่นเสียของ แจกแท็บเล็ต ซ้ำรอยคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร

“ดร.โปรดปราน บุณยพุกกณะ” ชี้ นโยบายแจกแท็บเล็ตเป็นเรื่องอนาคต แนะ เตรียมความพร้อม ผลิตหนังสือเรียนอีบุ๊ค-เปิดใช้ 3 G ให้ได้ก่อน หวั่น เสียของเหมือนยุคคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร
วันที่ 3 สิงหาคม ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนับสนุนโดยมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ จัดปาฐกถาเสาหลักของแผ่นดิน ชุดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการพื้นฐานของประเทศไทย โดยมี ผศ.ดร.โปรดปราน บุณยพุกกณะ รองคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปาฐกถาหัวข้อ “ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมด้านสารสนเทศ”
ผศ.ดร.โปรดปราน กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ หรือที่เรียกว่า ‘ช่องว่างดิจิทัล’ (Digital Divide) ว่า เป็นความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารสนเทศระหว่างประชากรกลุ่มต่างๆ ทั้งกลุ่มประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่กับชนบท หรือกลุ่มประชากรที่มีระดับการศึกษา เพศ อายุต่างกัน รวมทั้งกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุและผู้พิการ
“สภาพการณ์ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษา การค้าขาย การสื่อสาร แต่ในปี 2553ประเทศไทยกลับมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพียง 13.8 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 22.4 ของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น กอปรกับข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปีเดียวกัน ระบุถึงการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของประชากรอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยจำแนกตามเขตการปกครองว่า มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในเขตเทศบาล 43.4% นอกเขตเทศบาล 25.2% ขณะที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเขตเทศบาลมีจำนวน 35.1% และนอกเขตเทศบาล 16.5% ตัวเลขดังกล่าวจึงสะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในชนบทยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นทางด่วนในการส่งข้อมูลข่าวสาร”
ผศ.ดร.โปรดปราน กล่าวถึงการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทย ในเชิงเปรียบเทียบกับต่างประเทศว่า จากการจัดระดับความพร้อมของโครงข่ายโทรคมนาคม (Networked Readiness Index: NRI) โดย World Economic Forum ในปี 2552-2554 ว่า ประเทศไทยมีค่า NRI อยู่ในอันดับที่ 59 จาก 138 ประเทศ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ประเทศไทยจัดว่า "ล้าหลัง" กว่าสิงค์โปร ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซียและเวียดนามเสียอีก
“การพัฒนาเทคโนโลยีการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงชนิดแถบความถี่กว้าง หรือบรอดแบรนด์ของไทยยังล้าหลังประเทศในแถบเอเชียอยู่มาก บ้านเราถกเถียงเรื่อง 3 G 3.9 G ไม่รู้จักจบ ขณะที่ประเทศอื่นกำลังจะก้าวไปถึง 4 G แล้ว”ผศ.ดร.โปรดปราน กล่าว และว่า การทำให้ช่องวางดิจิทัลแคบลง จะต้องใช้กลไกภาครัฐ ทั้งในส่วนของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการเข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ไอซีทีอย่างจริงจัง
ผศ.ดร.โปรดปราน กล่าวถึงนโยบายของพรรคการเมืองซึ่งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทยโฆษณาว่าจะให้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตแก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทุกคน อีกทั้งจะใช้อีบุ๊ค (e-Book) แทนแบบเรียนกระดาษในการเรียนการสอน ซึ่งหากมีการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวจริง จะช่วยให้ลดช่องว่างดิจิทัลได้อย่างมาก แต่สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับเงื่อนไข วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน แจกเพื่ออะไร ประเทศไทยมีความพร้อมที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์หรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่า บ้านเรายังห่างไกล
“ยกตัวอย่างในประเทศเกาหลี ซึ่งมีการประกาศเช่นกันว่า จะใช้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตแทนหนังสือเรียนกระดาษทั้งหมดในปี 2558 แต่เหตุปัจจัยที่เกาหลีทำได้นั้น เนื่องจากมีโรงงานผลิตอีบุ๊ครีดเดอร์ ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการอ่านหนังสือเป็นของตนเอง มีโครงสร้างอินเทอร์เน็ตพื้นฐานของประเทศติดอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้ยังเตรียมความพร้อมในการใช้คอมพิวเตอร์ การคัดกรองข้อมูลให้กับเด็กๆ มาได้ระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้น เกาหลีจึงเรียกได้มีความพร้อมอย่างมาก”
ผศ.ดร.โปรดปราน กล่าวถึงนโยบายแจกแท็บเล็ตของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่นโยบายที่ผิดสิ้นเชิง เพราะในระยะยาวนโยบายดังกล่าวคงต้องเกิดขึ้น แต่จากบทเรียนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะคอมพิวเตอร์สู่โรงเรียน ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่า บางโรงเรียนที่ได้รับเครื่องคอมพิวเตอร์ไป ใช้งานไม่ได้เพราะไฟฟ้าเข้าไม่ถึง หรือถัดมายุคคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ที่มีราคาถูก แต่พังง่าย คุณภาพไม่ได้
“นโยบายคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตในปัจจุบันที่มีขึ้น เพื่อนำมาใช้อ่านหนังสือแทนแบบเรียนกระดาษ อย่างน้อยก็ควรต้องมีเนื้อหา บทเรียนในรูปแบบอีบุ๊คให้พร้อม จัดการเรื่องลิขสิทธิ์ให้ได้ก่อน เพียงแค่เรื่องดังกล่าวก็ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสำเร็จ ขณะเดียวกันในเรื่องการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตก็ต้องมีความชัดเจน เพราะเอาเข้าจริงขณะนี้ไลเซนส์ (License) 3 G ก็ยังประมูลไม่แล้วเสร็จ”ผศ.ดร.โปรดปราน กล่าว และว่า นโยบายแจกแท็บเล็ตไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแห่งเดียว เพราะได้มีการลอกรูปแบบมาจากประเทศอื่น แต่อย่างน้อยในต่างประเทศ ก่อนจะพูดหรือชูนโยบายก็ได้เตรียมโครงสร้างขึ้นมารองรับบ้างแล้ว
