"ส.ศิวรักษ์" : ปฏิรูปทัณฑสถาน
"...สิทธิของนักโทษที่ได้รับความคุ้มครองในระบอบประชาธิปไตย เช่น การอนามัย การจัดที่อ่านหนังสือ การฝากของมีค่า การให้เยี่ยม เครื่องนุ่งห่ม การจัดอาหารให้นักโทษต่างศาสนา การดูแลเด็กที่ติดมากับนักโทษ การหยุดทำงานในวันสำคัญทางศาสนา การอบรมวิชาชีพ-ศาสนาให้กับนักโทษ เป็นต้น .."

หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 57 แฟนเพจส่วนตัว "สุลักษณ์ ศิวรักษ์" หรือ "ส.ศิวรักษ์" ปัญญาชนสยาม ที่ใช้ชื่อว่า Sulak Sivaraksa ได้โพสต์บทความเกี่ยวกับการปฏิรูปทัณฑสถาน ของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
----------------
ได้ทราบข่าวว่า คสช. ต้องการปรับปรุงเรือนจำให้ปลอดไปจากการค้ายาบ้าและความเลวร้ายอื่น ๆ นี้นับว่าเป็นดำริชอบ หากเพียงการย้ายผู้บริหารเท่านั้น ไม่อาจแก้ไขได้ถึงแก่น โดยควรทราบไว้ด้วยว่า ในสหรัฐอเมริกานั้นคุกตะรางมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีตัวเลขปรากฏออกมาว่า จำนวนเรือนจำมีมากกว่าที่ทำนาขนาดเล็กที่ประกอบกสิกรรมด้วยตนเอง โดยไม่เป็นลูกจ้างของบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งคุมการเกษตรอย่างเบ็ดเสร็จเช่น United Fruits เป็นต้น ดังบรรษัทยาก็มีเพียง ๕ ยักษ์ใหญ่ ซึ่งคุมการผลิตยาขายแทบทั่วโลก
เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ สำเร็จแล้ว รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยมีนโยบายปรับปรุงกิจการราชทัณฑ์ใหม่ให้มีความก้าวหน้า โดยมีโครงการตั้งเรือนจำใหม่และทัณฑนิคมประจำภูมิภาคขึ้น ดังมีนโยบายว่า การราชทัณฑ์ในระบอบประชาธิปไตยมีอุดมคติในการที่จะฝึกและอบรมนักโทษเด็ดขาดและส่งเสริมไปจนสุดทางที่จะให้สามารถปรับตัวเข้าสู่สมาคมแห่งชุมชนได้ในฐานะพลเมืองดีจริง ๆ การราชทัณฑ์ในระบอบใหม่ได้นำข้อบังคับของคณะกรรมการสันนิบาตชาติเรื่องการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (ค.ศ.๑๙๓๕) มาประกอบเป็นนโยบายการราชทัณฑ์ของรัฐบาลด้วย ดังนั้น เป้าหมายของการราชทัณฑ์หาใช่มุ่งแต่เพียงลงโทษเป็นหลัก แต่มุ่งการฟื้นฟูปรับปรุงให้นักโทษสามารถกลับสู่สังคมได้ ตลอดจนให้สิทธิพื้นฐานแก่นักโทษหลายประการ
สิทธิของนักโทษที่ได้รับความคุ้มครองในระบอบประชาธิปไตย เช่น การอนามัย การจัดที่อ่านหนังสือ การฝากของมีค่า การให้เยี่ยม เครื่องนุ่งห่ม การจัดอาหารให้นักโทษต่างศาสนา การดูแลเด็กที่ติดมากับนักโทษ การหยุดทำงานในวันสำคัญทางศาสนา การอบรมวิชาชีพ-ศาสนาให้กับนักโทษ เป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่พบในการราชทัณฑ์แห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งปัญญาชนที่มีความคิดก้าวหน้า เช่น เทียนวรรณ หรือนายทหารหนุ่มในกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ที่พยายามเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต้องถูกทรมานด้วยการจองจำและใช้แรงงานที่ผิดมนุษย์ โดยปราศจากการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานในการปกครองระบอบเก่า
ที่ว่ามานั้น เป็นผลงานของการอภิวัฒน์ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยที่บัดนี้ได้กลับหน้ามือเป็นหลังตีนไปหมดแล้ว แม้จะมีการอนุญาตให้นักโทษได้บำเพ็ญเพียรภาวนาได้บ้างก็ตาม แต่กรณีเช่นนี้ ที่ในต่างประเทศอนุญาตให้พระเข้าไปสอนกรรมฐานในคุกตะรางอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าทางเราเสียอีก
ยังมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองสมัยแรกตั้ง ก่อนที่นักศึกษาจะจบออกไปรับปริญญาบัตร ต้องมีปัจฉิมนิเทศให้เขาเหล่านั้นต้องไปเยี่ยมเรือนจำ ให้แลเห็นสภาวะในทางลบของสังคมไทย ก็บัดนี้ มหาวิทยาลัยดังกล่าวจะมีอายุครบ ๘๐ ปี มีนโยบายอย่างไรบ้าง ที่จะช่วยให้บัณฑิตใหม่ได้แลเห็นสภาพแห่งความทุกข์ทางสังคม เพื่อให้เขาเหล่านี้มีความอาจหาญที่จะปรับปรุงโครงสร้างทางสังคมให้ลดความอยุติธรรมลง
ยิ่งผู้พิพากษาตุลาการด้วยแล้ว ถ้ามีหลักสูตรให้ทุก ๆ คนเข้าไปสัมผัสทุกขสัจจ์ในเรือนจำต่าง ๆ จะช่วยให้ขุนศาลนั้น ๆ มีการุณยธรรมยิ่งขึ้นกว่าที่แล้ว ๆ มา
แม้ในสมัยราชาธิปไตย เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศร์ ทรงเป็นเสนาบดีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น เสด็จเข้าไปตรวจเรือนจำกรุงเทพฯ ซึ่งพระราชบิดาของพระองค์โปรดให้สร้างขึ้นอย่างฝรั่ง แต่เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนคุกแล้ว ถึงกับรับสั่งว่า “มหากรุณิโกนาโถ” ขอพระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ตรัสเรียกพระธรรมนิเทศทวยหาญ ซึ่งเคยเป็นอนุศาสนาจารย์ไปกับทหารอาสาของไทยในมหาสงครามครั้งแรกในยุโรป โดยที่ท่านคุณพระเคยเป็นพระธรรมกถึกที่สามารถมาแต่สมัยเมื่อยังเป็นบรรพชิต สมเด็จชายทรงขอร้องให้คุณพระไปแสดงธรรมโปรดคนคุก แต่หาได้ทรงปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างในคุกให้ดีขึ้นไม่
ข้อเท็จจริงจากอดีตดังที่กล่าวมานี้ คงจะเป็นบทเรียนให้ที่ปรึกษาคนสำคัญ ๆ ของ คสช. หาทางปรับปรุงทัณฑสถานให้เป็นไปได้ยิ่งกว่าสมัยอภิวัฒน์ใหม่ ๆ และถ้าจะโยงใยให้สถาบันอุดมศึกษาและขบวนการยุติธรรม ใช้ทัณฑสถานเป็นสื่อให้ได้ปรับปรุงการศึกษาและปรับปรุงขบวนการยุติธรรมได้ด้วยก็จะน่าชื่นชม
ปัจจุบันกรมราชทัณฑ์ มีผู้ต้องขังในความดูแลถึง ๒๙๖,๕๗๗ คน ข้อมูลสำรวจเมื่อวันที่๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๗ ตามข้อมูลในเว็บไซต์ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นจำนวนที่เกินกว่าความสามารถของเรือนจำจะรองรับได้ เนื่องจากปัจจุบันเรือนจำทั่วประเทศมีจำนวน ๑๔๒ แห่ง ซึ่งกรมราชทัณฑ์จะสามารถรองรับผู้ต้องขังตามมาตรฐานได้เพียง ๑๕๐,๐๐๐ คนเท่านั้น แต่ในปัจจุบันกรมราชทัณฑ์มีผู้ต้องขังที่อยู่ในความดูแลทั้งสิ้นสูงถึง ๒๙๖,๕๗๗ คน เกินความจุมาตรฐานที่มีอยู่ถึง ๑๔๖,๕๗๗ คน จึงก่อให้เกิดผลกระทบตามมาหลายประการทั้งปัญหาความแออัด ปัญหาสุขภาพในเรือนจำ และส่งผลต่อคุณภาพและการฟื้นฟูผู้ต้องขังรายอื่นด้วยศาลน่าจะมีบทบาทในการใช้ดุลพินิจคัดกรองบุคคลที่สมควรต้องขังจักช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวได้บ้าง
เพียงปริมาณตัวเลขผู้ต้องขัง ก็น่าตกใจแล้ว โดยไม่ต้องเอ่ยถึงคุณภาพอันเลวร้ายอื่น ๆ ถ้า คสช. แก้ประเด็นนี้ได้ถึงแก่น จะได้รับการโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง
นักโทษเป็นผลพลอยได้ของโครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรม ถ้าชนชั้นปกครองเข้าใจความข้อนี้ รวมถึงนักการศึกษาชั้นนำและขุนศาลตุลาการ แล้วร่วมหัวกันแก้ไขโครงสร้างดังกล่าวให้ถึงแก่น ราชอาณาจักรนี้จะปลอดไปจากภาวะวิกฤตการณ์โดยเดินเข้าสู่ความเป็นบ้านเมืองดีได้ต่อไป
ส.ศ.ษ.
