“เอ็นนู” ตีค่าบัตรเครดิตชาวนา เป็นได้แค่ 'ของเล่นใหม่'

อดีตรองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ชี้ช่อง ใช้นโยบายบัตรเครดิตเกษตรกร ต้องสร้างเงื่อนไขเพื่อตรึงราคาปุ๋ย-ยาฆ่าแมลง แนะให้จำกัดวงเงินชัดเจน รูดบัตรได้เฉพาะสินค้าทางการเกษตร-วงเงินฉุกเฉิน
นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ คณะกรรมการเครือข่ายปฏิรูปเพื่อคุณภาพชีวิตเกษตรกร ในคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) และอดีตรองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้สัมภาษณ์กับ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย” ถึงนโยบายบัตรเครดิตเกษตรกรของพรรคเพื่อไทยว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเรื่องยากอะไร เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วทาง ธ.ก.ส. ก็เคยทำ แต่ต่อมาได้ถอนตัวและส่งเรื่องให้สหกรณ์การเกษตรสานต่อ ดังนั้น หากรัฐบาลจะเดินหน้านโยบายดังกล่าวก็สามารถนำกระบวนการที่ ธ.ก.ส. เคยทำมาใช้ได้ เพียงแต่ปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บข้อมูลเสียใหม่ ให้เป็นรูปแบบดิจิตอลแทน
นายเอ็นนู กล่าวว่า บัตรเครดิตเกษตรกรเป็นนโยบายที่พูดถึงการให้เงินสด ให้บัตรเครดิตแก่เกษตรไปใช้ซื้อสินค้า ปุ๋ยเพื่อใส่ไร่นา ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือ การขึ้นทะเบียนบริษัทห้างร้านที่จำหน่ายปุ๋ย ยาฆ่าแมลงให้แก่เกษตรกร ที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ในราคาเดียวกันทุกจังหวัด โดยใช้แรงจูงใจที่ว่า หากร้านค้าใดยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว เมื่อขายสินค้าจะได้รับเงินสดจากธนาคารทันที เพราะที่ผ่านมาขายปุ๋ย ยาผ่านพ่อค้าท้องถิ่น ต้องใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือนกว่าจะได้เงิน
ส่วนในคุณภาพและราคานั้น นายเอ็นนู กล่าวว่า ต้องกำหนดให้ชัดเจน เช่น ราคาเดียวกันทุกพื้นที่ จะขึ้นราคาได้ต่อเมื่อ ธ.ก.ส. อนุมัติเท่านั้น ขณะเดียวกันเมื่อราคาตลาดปรับลง ร้านค้าที่ร่วมโครงการก็ต้องปรับลดทันที ส่วนเรื่องคุณภาพสินค้า หากพบว่าคุณภาพต่ำ ต้องเปลี่ยนตัวใหม่หรือคืนเงินให้แก่ลูกค้า โดย ธ.ก.ส. ต้องทำหน้าที่เป็นแกนกลาง ดังนั้นแล้ว หากนโยบายบัตรเครดิตมีระบบดังกล่าวเสริมเข้าไป เชื่อว่า จะเกิดประโยชน์และช่วยตรึงราคาปุ๋ย ตรึงราคายาได้เป็นอย่างดี
เมื่อถามว่านโยบายดังกล่าวจะเพิ่มภาระหนี้ให้กับเกษตรกรหรือไม่ อดีตรองผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ปกติ ธ.ก.ส.ให้สินเชื่อกับเกษตรกรอยู่แล้ว โดยทั่วไป 80% เป็นวงเงินปีต่อปี ส่วนอีก 20% เป็นวงเงินปานกลางหรือระยะยาว ดังนั้น หากไม่ไปสร้างวงเงินใหม่ จำกัดให้อยู่ในกรอบวงเงินที่ 80% หรือถัวเฉลี่ยประมาณ 100,000-150,000 บาทต่อรายต่อปี ก็ไม่กระทบอะไร ทั้งนี้ ประการสำคัญคือ ธ.ก.ส. ต้องไม่ให้เกินวงเงิน หรือห้ามนำบัตรเครดิตไปรูดในสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่น ซื้อเหล้า บุหรี่ ท่องเที่ยว ฯ
“บัตรเครดิต ควรวางเงื่อนไขและจำกัดวงเงินสำหรับค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเครื่องจักรเงิน และวงเงินสดฉุกเฉินเท่านั้น ซึ่งวงเงินสดฉุกเฉินดังกล่าว อาจกำหนดให้ไม่เกินรายละ 20,000-30,000 บาท ตามแต่ขนาดธุรกิจหรือความจำเป็น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสร้างหนี้นอกระบบ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน”
ส่วนบัตรเครดิตจะตอบโจทย์ปมปัญหาของเกษตรกรได้มากน้อยเพียงใดนั้น นายเอ็นนู กล่าวว่า บัตรเครดิตเป็นเพียงตัวเสริม เป็นของเล่นใหม่สำหรับชาวบ้านที่ไม่เคยมีบัตรเครดิตเท่านั้น คงไม่มีผลมากนัก เพราะปัญหาที่เป็นหลักใหญ่ของเกษตรกรอยู่ที่กระบวนการทำเกษตรที่จะต้องครบวงจร โดยสิ่งที่ทำให้ภาคเกษตรดีขึ้นคือ 1.ตัวเกษตรกรต้องรู้จักทำแผนชีวิต จัดการชีวิตตัวเองได้ ไม่ว่าเป็นการลดรายจ่ายในครอบครัว ลดต้นทุนการทำเกษตร รวมถึงการเพิ่มรายได้ครอบครัว อย่างเช่น แทนที่จะจำนำข้าวเปลือก ก็เปลี่ยนใหม่ หันมาสีข้าวกินเอง ไม่ขายทุกเม็ด
“2.ภาคเกษตรกรรมต้องมีแผนอาชีพ ปรับแบบครบวงจร ทั้งเรื่องกระบวนการผลิต การแปรรูป การตลาด ฯลฯ เกษตรต้องรู้ว่าราคาพืชผลขึ้นลงอย่างไรบ้าง ขายที่ไหนแล้วไม่ถูกโกงตาชั่ง หักค่าความชื้น และ 3.ต้องร่วมกันคิดระดับชุมชน ทรัพยากรดินจะช่วยกันดูแลอย่างไร หรือน้ำจะกักเก็บให้เพียงพอในช่วงหน้าแล้งอย่างไร นอกจากนี้ต้องร่วมกันทำปุ๋ย ร่วมกันขาย คิดในรูปแบบชุมชนมากขึ้น ซึ่งหากทำได้ทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าวเชื่อว่า นโยบายบัตรเครดิตจะกลายเป็นเรื่องรอง”
