ปริศนา 25 กระทิงป่ากุยบุรีล้ม ไร้คำตอบสังเวยใคร?
กระทิงป่าในเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรีทยอยล้มตายโดยไม่ทราบสาเหตุตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 57 จนถึงช่วงปลายเดือนเดียวกันถึงจำนวน 24 ตัว แต่ขณะนี้เวลาผ่านไปนานกว่า 2 เดือนแล้ว การตายของกระทิงยังคงเป็นปริศนาว่าอะไร คือ สาเหตุล้มตายของกระทิงฝูงนี้ แม้ทุกฝ่ายจะยังรอผลการตรวจพิสูจน์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช หรือกรมปศุสัตว์ หากคำตอนก็ยังเป็นปริศนาดำมืด

มีการตั้งข้อสังเกตว่า จากกลุ่มเจ้าหน้าที่และชาวบ้านในท้องถิ่นที่เข้าไปพบซากกระทิงที่เสียชีวิตว่า ลักษณะการตายของกระทิงทุกตัวต่างหันหน้าไปทางทิศใต้ทั้งหมด เพราะวิ่งออกมาจากแหล่งน้ำด้านทิศเหนือ มีการสันนิษฐานว่า กระทิงที่ตายอาจเกิดจากการเกิดโรคระบาดกะทันหัน ที่มีผลรุนแรงเฉียบพลัน หรือ ถูกสารพิษ ที่มีการกระทำโดยมนุษย์ รวมทั้งเป็นการตายจากธรรมชาติ
โดยเฉพาะกรณีที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับประเด็นความขัดแย้งหลายประการ อาทิ ความโกรธแค้นของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่ถูกหัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรีให้ออกจากงาน นอกจากนี้ยังพบประเด็นอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ได้ใช้งบประมาณถึงจำนวน 10 ล้านบาทเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยว โดยให้เอกชนเข้าบริหารจัดการอุทยาน ทั้งโรงแรม ที่พัก อาหาร ของที่ระลึก รถรับส่ง และสิ่งอำนวยความสะดวก
หรือแม้กรณีนายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการแต่งตั้งอธิบดีคนใหม่ขึ้นมา และประเด็นนี้ อาจทำให้เกิดความขัดแย้งภายใน แต่ละสายงานได้ แม้กระทั่งการจัดหาผลประโยชน์ขององค์กรพัฒนาเอกชน ที่เข้ามาสนับสนุนในพื้นที่อุทยานกุยบุรี
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการตั้งข้อสันนิษฐานเพื่อคลี่คลายคดีกระทิงดับปริศนาเท่านั้น แต่ประเด็นที่มีน้ำหนักมากที่สุดน่าจะอยู่ที่ความขัดแย้งภายในของกรมอุทยานฯซึ่งมีการขัดแข้งขัดขาระหว่างสายงานของคนเก่าและคนใหม่ที่จะเข้ามารับตำแหน่งมากกว่า
จุดเริ่มต้นกระทิงป่ากุยบุรีตายปริศนา
2 ธันวาคม 2556 นายดำริ ทองยม ผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำเครือข่ายยุติธรรมจังหวัด อาสาสมัคร และผู้ถูกคุมที่อาสาไปช่วยกันปลูกป่า สร้างฝาย ให้กับสัตว์ป่าในพื้นที่กุญชร โครงการฟื้นฟูสภาพป่าสงวนแห่ง ชาติป่ากุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี หมู่ที่ 7 ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ
ในขณะที่ทุกคนกำลังร่วมกันทำกิจกรรมอยู่ในป่านั้น สุภาพสตรีผู้ถูกคุมที่อาสาไปช่วยทำงานคนหนึ่ง เกิดปวดปัสสาวะ จึงเดินเข้าไปในป่าห่างจากที่ทำกิจกรรมประมาณ 200 เมตร แต่ก็ต้องตกใจที่พบเห็นกระทิงป่า ขนาดใหญ่นอนตายอยู่ใต้ต้นไม้ จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าไปตรวจสอบ

จากการตรวจสอบของนายกมล อุ่นใจ หัวหน้าโครงการกุญชร นายปรีชา วิทยพันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติป่ากุยบุรี ร.ท.ณรงค์ชัย แตงอ่อน หัวหน้าชุดประสานงานโครงการฟื้นฟู ฯ และ พ.ต.อ.อำพันธุ์ ชมกรด ผกก.สภ.ยางชุม พบว่า ซากดังกล่าวเป็นกระทิงป่าตัวใหญ่ เพศผู้ อายุประมาณ 15 ปี วัดความสูงได้ 180 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 295 เซนติเมตร ความกว้างระหว่างเขา 60 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1,500 กิโลกรัม สภาพนอนตะแคงเสียชีวิต
ในจุดเกิดเหตุไม่พบสิ่งผิดปกติที่ส่อให้เห็นได้ว่าร่องรอยการถูกมนุษย์ทำร้าย และไม่พบบาดแผล เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิฐานว่า อาจจะเสียชีวิตตามธรรมชาติ จึงได้ประสานไปยังปศุสัตว์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อขอให้นายสัตวแพทย์มาทำการตรวจพิสูจน์ซากกระทิงให้ทราบสาเหตุการตายให้ชัดเจน
นายเมธา สันติกุล ผู้อำนวยการส่วนสัตว์ป่า สำนัก 3 สาขาเพชรบุรี นายสัตวแพทย์สาโรช จันทร์ลาด นายสัตวแพทย์ ชำนาญการพิเศษ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และทีมสัตวแพทย์กรมปศุสัตว์ ได้เดินทางไปตรวจพิสูจน์ซากกระทิงเพื่อหาร่องรอยบาดแผลภายนอกลำตัวและตรวจสอบ ขนาดเขาที่กว้างถอดสีจากสีดำเป็นสีขาว ฟันในปากที่โยก และกีบเท้า จากนั้นได้ทำการผ่าพิสูจน์อวัยวะภายใน ทั้ง เนื้อ ม้าม ตับ ไต ปอด กระเพาะ หัวใจ และเก็บชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ ใส่ภาชนะ เพื่อส่งตรวจสอบที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันตกจังหวัดราชบุรี เพื่อพิสูจน์ตามหลักวิชาการถึงสาเหตุการตาย
เบื้องต้น นายเมธา ให้ความเห็นว่า กระทิงป่าที่ตายอาจเกิดจากป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในโครงการพื้นฟูสภาพป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ไม่มีใครเข้าไปล่าสัตว์ เพราะชาวบ้านกับเจ้าหน้า ที่อุทยานฯได้ช่วยกันดูแลเป็นอย่าง
แต่ถัดอีกไม่นานนัก หายนะของฝูงกระทิงก็เกิดขึ้นอีกเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.56 เจ้าหน้าที่อุทยานร่วมกับทหารได้ลาดตระเวนพบกระทิงเพศเมีย น้ำหนักตัวประมาณ 800 กิโลกรัม ตายเป็นตัวที่ 2 และ วันที่ 13 ธ.ค.56 พบกระทิงตายตัวที่ 3 เพศผู้ น้ำหนักราว 1.5 ตัน ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย คาดตายมานานกว่าสัปดาห์ วันที่ 17 ธ.ค.56 พบตัวที่ 4 กระทิงเพศผู้ ซากเน่ามากจนประเมินอายุไม่ได้ วันที่ 18 ธ.ค. พบตัวที่ 5 และ ตัวที่ 6 เป็นแม่และลูกกระทิงเพศผู้ อายุไม่เกิน 3 เดือน
หลังจากนั้นเพียง 2 วันในวันที่ 20 ธ.ค.56 มีการพบกระทิงขนาดใหญ่ล้มตาย เป็นตัวที่ 7 เป็นเพศผู้อายุ 15 ปี น้ำหนักประมาณ 1,700 กิโลกรัม สูง 190 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 290 เซนติเมตร ความกว้างของเขา 69 เซนติเมตร อยู่ในสภาพนอนตะแคงขวา คาดตายมาแล้วกว่า 2 สัปดาห์
ถึงแม้จะพบเป็นระยะเวลาที่ห่างกันไม่มากนัก แต่เจ้าหน้าที่กลับเชื่อเชื่อว่า กระทิงเกือบทุกตัวอาจตายในวันเดียวกันหรือตายในเวลาใกล้เคียงกัน ส่วนสาเหตุการตายนั้น ทุกคนยังมีข้อสงสัยว่า อาจจะเกิดจากการที่กระทิงโดนสารพิษจากการกินเข้าไป แต่ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดสาเหตุการตายของสัตว์ป่าสงวนชนิดนี้ได้ จึงยังคงรอผลพิสูจน์จากคณะสัตว์แพทย์ต่อไปอีก
ต่อมาวันที่ 21 ธ.ค. 56 พบกระทิงตายเป็นตัวที่ 8 เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 18 วัน สภาพเน่าเปื่อย หัวและเขายังอยู่ครบ ไม่มีร่องรอยของการถูกยิงหรือถูกทำร้าย ขณะเดียวกันมีข้อน่าสังเกตว่า มีกระทิงตายหลายตัว แต่เหตุใดช้างป่า กวาง เก้ง หรือสัตว์ป่าอื่นๆไม่เป็นไร หากจะมีสารพิษในน้ำ หรือดิน หรือแปลงหญ้า สัตว์ป่าอื่นๆที่อาศัยรวมกันจะต้องตาย ยิ่งทำให้เป็นปริศนา
"ไมยรายไร้หนาม" พืชต้องสงสัย
นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ ปศุสัตว์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัยพัฒนาสัตว์แพทย์ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือตอนล่าง พบโคตายพร้อมกัน 3 ตัว เนื่องจากสารพิษไนเตรทในต้นมัยราบไร้หนามที่เจ้าของนำไปให้โคกิน จึงได้นำข้อมูลมาร่วมพิจารณากรณีกระทิงที่ตายในครั้งนี้ แต่ยังไม่ตัดประเด็นอื่นทิ้ง ทั้งสารพิษในแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร
สำหรับต้นไมยราบไร้หนามซึ่งกลายเป็นพืชต้องสงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้กระทิงล้มตายเป็นเบือนั้น เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง มีการเจริญเติบโตเร็วมาก ในลำต้นและใบของไมยราบไร้หนามมีสารไนเตรทและไซยาไนด์ในปริมาณสูง เมื่อสัตว์กินเข้าไปจะทำให้สัตว์ตายเนื่องจากภาวะขาดออกซิเจนในเลือด (hypoxia) อาการที่พบคือ ท้องอืด กระวนกระวาย กล้ามเนื้อสั่น หายใจขัดแล้วตายหลังแสดงอาการ ? ถึง 1 ชั่วโมง เหงือกมีสีม่วงคล้ำ รอยโรค เมื่อผ่าซากดูจะพบจุดเลือดออกทั่วไป โดยเฉพาะที่หัวใจ ผนังกระเพาะอาหารอักเสบแดง อวัยวะภายในบวมน้ำ มีน้ำในถุงหุ้มหัวใจและในช่องท้อง
แม้จะมีข้อข้องใจเกี่ยวกับสารพิษในพืชดังกล่าว แต่ก็ยังไม่มีคำตอบ จนกระทั่งวันที่ 22 - 23 ธ.ค.56 นายธีรภัทร ประยุรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และนายวัฒนา พรประเสริฐ ผอ.ส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี ได้ ระดมกำลังทหารหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ทหารพรานจากกองร้อยที่ 1404 ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 145 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยาน อาสาสมัครฝ่ายปกครอง และ ชาวบ้าน จำนวนประมาณ 300 คน เข้าปูพรหมค้นหา โดยแบ่งกำลังออกเป็น 10 ชุด เดินตรวจสอบตามแผนที่กำหนดเป็นวงกว้าง 6 ตารางกิโลเมตร ผลจากการตรวจสอบพบว่า มีกระทิงตายเพิ่มอีก 5 ตัว รวมเป็น 13 ตัว
และในวันที่ 24 ธ.ค. ได้พบซากกระทิงป่าเพิ่มอีกจำนวน 3 ตัว รวมเป็น 16 ตัว และครั้งนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ส่งดิน น้ำ หญ้า ในพื้นที่ที่พบซากกระทิงไปทำการตรวจสอบแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีคำตอบใด ๆ เหมือนเดิม
คนท้องถิ่นข้องใจกระทิงป่าล้ม
นายพงษ์พันธ์ วิเชียรสมุทร นายอำเภอกุยบุรี กล่าวว่า ขณะนี้คนไทยทั่วประเทศอยากทราบสาเหตุการตายของกระทิงว่าเกิดจากสาเหตุใด และขณะนี้หน่วยงานที่ตรวจสอบได้ตัดประเด็น”พืชไมยราบไล้หนามออก” เนื่องจากในพื้นที่มีปริมาณน้อยมาก เชื่อว่าไม่เป็นเหตุที่ทำให้กระทิงตายทั้งแบบเฉลียบพลันได้ทั้งฝูง ส่วนแหล่งน้ำถ้าเกิดสารพิษในน้ำเมื่อกระทิงกินไปแล้วตาย สัตว์ป่าอื่นๆ หรือ กุ้ง หอย ปู ปลา ต้องตายด้วย
“กรณีสารไนเตรสในดิน หากมีในเขตอุทยาน ก็ต้องมีข้างนอกอุทยานที่เป็นพื้นที่เลี้ยววัวชาวบ้านแต่วัวชาวบ้านไม่เห็นตายจึงไม่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ สำหรับแปลงหญ้าที่ปลูกให้สัตว์ป่า ทั้งช้างและกระทิง หรือ เก้ง กวาง ก็หากินอยู่ด้วยกัน ทำไมสัตว์ป่าชนิดอื่นไม่ตาย และหากตายคงตายทั้งประเทศ ที่สำคัญเชื่อว่าเกิดจากสารพิษในวัตถุ จะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจที่จะกระทำเท่านั้น ผมยืนยันว่า บริเวณที่เกิดเหตุนั้น เป็นต้นน้ำและเป็นพื้นที่ปิด”นายอำเภอกุยบุรี ตั้งข้อสังเกต
ขณะที่นายปรีชา วิทยพันธ์ อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กระทิงในอุทยานกุยบุรีมีทั้งหมด 3 ฝูง ฝูงที่ 1 จำนวน 32 ตัว ฝูงที่ 2 มี 22 ตัว และฝูงที่ 3 มี 86 ตัว อาศัยอยู่ในป่าลึก ฝูงที่มีปัญหาคือฝูงที่มี 22 ตัว ซึ่งหากินบริเวณรอยต่อระหว่างอุทยานแห่งชาติกุยบุรีกับโครงการฟื้นฟูสภาพป่าส่วนแห่งชาติป่ากุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือโครงการกุญชร ซึ่งพบว่ากระทิงทุกตัวที่ตายจะวิ่งมาจากลำห้วยทั้งหมด ส่วนกระแสข่าวความขัดแย้งกับนายกมล อุ่นใจ หัวหน้าโครงการกุญชร ยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้ง
ศึกชิงเก้าอี้กรมอุทยาน”กระทิง”เหยื่อสังเวย
ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังสับสนกับสาเหตุกระทิงตาย นายนิพนธ์ โชติบาล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพรรณพืช รักษาการอธิบดี ฯ มีคำสั่งย้ายนายปรีชา วิทยพันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี และ นายกมล อุ่นใจ หัวหน้าโครง การกุลชร ออกนอกพื้นที่ และมีคำสั่งแต่งตั้งนายสมัคร ดอนนาปี ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ เป็นประธานคณะ กรรมการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับคณะทำงาน 15 คน แบ่งเป็นคณะกรรมการสวน คณะกรรมการผู้รับผิดชอบ คณะกรรมการทำงาน และคณะกรรมการปฏิบัติงาน ตรวจสอบว่ามีการละเลยหรือมีความขัดแย้งจนเป็นสาเหตุกระทิงตายจำนวนมากหรือไม่ ร่วมกันค้นหาพยาน หลักฐาน สอบสวนข้อเท็จจริง นำเสนอให้ กรมอุทยานฯ ทราบ
แม้ต่อมานายสัตวแพทย์ปรีชา วงษ์วิจารณ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ กรมปศุสัตว์ จะออกมาระบุผลการตรวจสอบสาเหตุการตายของกระทิงว่า พบเชื้อแบคทีเรีย คลอสตริเดียม โนวิอาย (Clostridium novyi) และสารไนเตรท แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นสาเหตุการตายของกระทิง เนื่องจากข้อจำกัดของตัวอย่างที่นำมาตรวจ มีสภาพเน่าเปื่อยอย่างมาก ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการตรวจวินิจฉัย
ดังนั้นเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายนิพนธ์ โชติบาล รักษาการอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จึงได้สรุปผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนฯว่า ได้ตัดประเด็นการวางยาพิษกระทิง และสารพิษออกไปแล้ว จึงเหลือความเป็นไปได้มากที่สุดคือเชื้อโรคที่พบ คือโรคปากเท้าเปื่อยในซากกระทิง1 ตัว แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าสาเหตุการตายของกระทิงทั้งหมดเกิดจากอะไร
นายศรีสวัสดิ์ บุญมา กำนันตำบลหาดขาม อ.กุยบุรี กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่ไม่สบายใจที่เห็นสัตว์ป่าตายจำนวนมากในครั้งนี้ สันนิฐานไม่ได้ว่าเหตุใดจึงทยอยตายพร้อมๆกัน ซึ่งส่วนตัวไม่เชิ่อว่าเกิดจากโรคระบาด จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเชิงลึกว่า โดยเฉพาะในประเด็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มข้าราชการกรมอุทยานฯด้วยกันเอง
"ผมเชื่อว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างใครกับใครตนไม่สามารถบอกได้ แต่ไม่ทราบว่าเป็นการเอาสัตว์ป่ามาเป็นเดิมพันหรือไม่" กำนันตำบลหาดขาม ตั้งข้อสังเกตุ
ในขณะที่แหล่งข่าวในท้องถิ่น ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หากการตายของกระทิงเกิดจากน้ำมือมนุษย์จริง ก็อาจมีหลายประเด็นความขัดแย้งที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรีได้ ให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าออกจากงาน อาจทำให้เกิดความโกรธแค้นจึงวางยาฆ่ากระทิง หรืออาจเกี่ยวข้องกับงบประมาณจากการผนวกพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรีเข้ากับอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เพื่อให้ผืนป่าใหญ่ขึ้น ซึ่งจะมีเม็ดเงินจากองค์กรอนุรักษ์ระดับโลก ให้การสนับสนุนเป็นงบประมาณจำนวนมาก
“ประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม คือ ความขัดแย้งภายในองค์กรของกรมอุทยานและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพราะอดีตอธิบดีกรมอุทยานฯคนเก่าจะเกษียณอายุราชการมานานกว่า 1 ปีแล้ว แต่จนถึงบัดนี้กรมอุทยานฯ ก็ยังไม่มีการแต่งตั้งอธิบดีคนใหม่จึงอาจเกิดความขัดแย้งภายในแต่ละสายงาน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการจัดหาผลประโยชน์ของเอ็นจีโอ ที่เข้ามาสนับสนุนในพื้นที่อุทยานกุยบุรี “
จากต้นเดือนเดือนธันวาคม 2556 จนถึงเมษายน 2557 มีกระทิงล้มตายโดยไม่ทราบสาเหตุไปถึง 25 ตัวแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นมีเพียง 1 ตัวที่พบความผิดปกติชัดเจนว่า ตายจากโรคปากเท้าเปื่อย ในขณะที่ประเด็นความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่กรมอุทยานด้วยกัน ก็ยังไม่มีการสอบสวน และความตายของกระทิงก็ยังคงเป็นปริศนาจนถึงวันนี้
