บุกรุกป่าวังน้ำเขียว “เพิ่มศักดิ์” สะท้อนรัฐทำงานล้มเหลว
อดีต คปร. แนะกรณีบุกรุกป่าวังน้ำเขียว ต้องมีการพิสูจน์สิทธิ์ให้ชัด ยอมให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วม มีการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ หรือคนธรรมดา ย้ำชัด ทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีข้อยกเว้น
ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ อดีตคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงกรณีการบุกรุกที่ดินบริเวณอำเภอ วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา โดยมองปัญหาที่เกิดขึ้นมีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.เกษตรกรที่มีสิทธิ์ในที่ดิน นำที่ดินไปแปรเปลี่ยนสภาพจากการเกษตร ไปเป็นธุรกิจอย่างอื่น 2.คนที่ไม่ได้เป็นเกษตรกรโดยตรง แต่ไปซื้อที่ดินต่อจากเกษตรกร แล้วนำที่ดินที่ซื้อต่อ ไปทำเป็นธุรกิจอย่างอื่น 3.พวกที่บุกรุกในเขตป่าต้นน้ำลำธารอย่างแท้จริง
“ทั้ง 3 รูปแบบถือว่าผิดกฎหมายทั้งนั้น โดยปัญหาที่ 1 และ 2 นั้นต้องใช้ พ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินในการคลี่คลายปัญหานี้ ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ในที่ดินก็ต้องคืนที่ดินให้กับ ส.ป.ก. ส่วนผู้ที่บุกรุกป่าต้องมีการพิสูจน์สิทธิ์โดยที่ต้องมีส่วนร่วมด้วย ต้องมีการพิสูจน์ ว่าเป็นผู้ที่มีสิทธิในที่ดินผืนนั้น จาก ส.ป.ก. จริงหรือไม่ ถ้าไม่ได้รับก็จะถือว่า ไม่มีสิทธิ์ และเป็นการทำผิดกฎหมาย เพราะไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ซื้อ หรือนำที่ดินที่ผิดกฎหมายไปครอบครองได้ รวมทั้งขัดต่อหลักการการปฏิรูปที่ดินโดยสิ้นเชิง“
ดร.เพิ่มศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการสะท้อนการทำงานที่ล้มเหลวของรัฐ 2 ด้าน คือ การรักษาป่า ซึ่งหลายสิบปีที่ผ่านมา การบุกรุกป่ายังเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ อีกด้านหนึ่งคือการแก้ปัญหาที่ดิน ที่ผ่านมาประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินมาช้านาน เช่น พ.ร.บ.จัดสรรที่ดินครองชีพตั้งแต่ปี 2511 หรือแม้แต่ พ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดิน แต่ในขณะนี้ก็ยังมีเกษตรกรที่ไร้ที่ทำกิน เกือบ 2 ล้านราย แสดงให้เห็นถึงการจัดสรรทรัพยากรที่ล้มเหลว ไม่เป็นธรรม ในที่สุดก็ไปถึงมือของผู้ที่ไม่ใช่เกษตรกร ซึ่งเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย
“ขณะนี้การบริหารจัดการที่ดินมันกระจายไปมาก ไปอยู่ในมือของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งมีมาตรฐานและวิธีการแตกต่างกัน การจัดสรรที่ดินเป็นการรังวัดจัดแจกเฉยๆ ไม่ได้มุ่งในการคุ้มครองที่ดินหรือว่าส่งเสริมให้เกษตรกรที่ได้รับที่ดิน เพื่อนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ หน่วยงานเกี่ยวกับสาธารณูปโภคก็ไม่มีการส่งเสริม ชาวบ้านจึงต้องพึ่ง ดิน ฟ้า อากาศ ซึ่งได้คุ้มเสีย สุดท้ายก็กลายเป็นหนี้สิน แล้วก็ต้องเอาที่ดินไปชำระแทนหนี้สิน วิธีแก้คือต้องมีการจัดสรรให้ครบวงจร ต้องมีการส่งเสริมการรวมกลุ่ม เพื่อให้เกษตรกรอยู่รอด”
และเมื่อถามถึงการแก้ปัญหาเรื่องที่ดินในอำเภอวังเขียว ทำให้เป็นโมเดลสำหรับแก้ปัญหาเรื่องที่ดินนั้น อดีต คปร. กล่าวว่า โมเดลที่ถูกต้องคือต้องมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ แบบมีส่วนร่วมและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ มีการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ ร่ำรวยมหาศาล หรือคนธรรมดา ถ้าทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีข้อยกเว้น
“กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ ไม่ใช่ให้รัฐจัดสรรเพียงฝ่ายเดียว เพราะถ้าให้เจ้าหน้าที่รัฐชี้เพียงฝ่ายเดียวก็ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน จึงต้องมีการพิสูจน์สิทธิ์ ที่ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนที่เป็นคู่กรณี ทั้งในส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่อจากนี้ภาคประชาสังคมเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย”
ในช่วงท้าย ดร.เพิ่มศักดิ์ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาการบุกรุกที่ดินของไทยว่า ขณะนี้ปัญหาการบุกรุกที่ดินรุนแรงมาก โดย 2 รูปแบบ มีการบุกรุกที่ดิน ที่ของป่า โดยมีนายทุนต่างชาติรวมอยู่ด้วย จะพบมากที่จ.ภูเก็ต พังงา เกาะสมุย เป็นต้น และอีกรูปแบบหนึ่งคือ นายทุนภายใน กว้านซื้อที่ดินเอาไว้เก็งกำไรซื้อขาย แม้จะไม่ผิดกฎหมายแต่เป็นการใช้อำนาจเหนือกฎหมายบีบให้ชาวบ้านต้องขายที่ดิน โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นนักการเมือง และข้าราชการระดับสูง
“ถ้าไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น ไม่มีการโกง ปัญหานี้แก้ได้ตั้งนานแล้ว เพราะประเทศมีที่ดินเหลือเฟือพอกับเกษตรกรทุกคน คนละ 10-20 ไร่ แต่ที่ต้องมีคนกว่าล้านคนไม่มีที่ดินก็เพราะนักการเมือง กลุ่มนายทุน และข้าราชการระดับสูง ร่วมมือกันเพื่อครอบครองที่ดิน จนให้เกษตรกรต้องสูญเสียที่ดินทีละมากๆ” ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าว และว่า วิธีแก้ปัญหาการจัดสรรที่ดินว่า ต้องมีการเปิดเผยการถือครองที่ดินออกมา เพื่อจะได้ปฏิรูปการจัดการที่ดิน และกระจายที่ดินออกไป ไม่เช่นนั้นก็แก้ปัญหาไม่ได้ ซึ่งหากมีการเปิดเผยข้อมูลจะทำให้ทราบถึงจำนวนการถือครอง และความเหมาะสม เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างอื่น เช่น การจำกัดพิจารณาการถือครองที่ดิน หรือถ้าผู้ที่มีมากก็อาจจะต้องมีการกำหนดอัตราภาษีก้าวหน้า เป็นการแก้ปัญหาในขั้นต่อไป
