นักกม.หนุน 'นิรโทษกรรม' คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ ยันทำได้ ออกกม.นิรโทษฯ เพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรม แต่หวั่นถูกนำไปใช้เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเอง-พวกพ้อง ด้านกอร์ปศักดิ์ มองไม่เห็นทางออก บอกเจอแต่ทางตัน ถามกลับวันนี้ จะนิรโทษกรรมแบบไหน..
วันที่ 7 สิงหาคม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนาวิชาการวันรพี'54 หัวข้อ "นิรโทษกรรม...ทางออกหรือทางตัน” ณ ห้องจี๊ด เศรษฐบุตร คณะนิติศาสตร์ มธ. โดยมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.ท.ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ อนุกรรมการด้านการศึกษาและกิจกรรมวิชาการ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ.ร่วมอภิปราย
ยุติธรรมตามธรรมชาติ-มนุษย์สมมติขึ้น
เริ่มต้นผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวถึงนิรโทษกรรมว่า เป็นส่วนหนึ่งขอความยุติธรรม ที่เกิดจากความพยายามที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมขึ้น พร้อมแบ่งความยุติธรรมออกเป็น 1.ความยุติธรรมตามธรรมชาติ และ 2. ความยุติธรรมที่มนุษย์สมมติขึ้น โดยความยุติธรรมที่มนุษย์สมมติขึ้นนี้มีขึ้นมาเพื่อแก้ไขความยุติธรรม ซึ่งบางครั้งกฎหมาย หรือกลไกทางกฎหมายก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมเสียเอง ดังนั้นการนิรโทษกรรมจะเข้าไปอยู่ในส่วนนี้ แต่ก็ต้องไม่ไปขัดกับความยุติธรรมตามธรรมชาติ
"การตรากฎหมายนิรโทษกรรม จึงเป็นไปเพื่อจะแก้ไขฟื้นฟู ให้ความยุติธรรมนั้นเข้าใกล้ภาวะอุดมคติให้มากที่สุด ดังนั้น การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ที่เป็นไปเพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรม จึงทำได้ แต่ปัญหา คือ มีการใช้นิรโทษกรรมไปในทางที่แสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง”
จากนั้น อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. ได้ยกตัวอย่างในอดีตที่มีการตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรม เป็นไปเพื่อความปรองดองแห่งชาติ เช่น กรณีที่ประชาชนต้องการจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการออกพระราชกำหนดพระราชทานอภัยโทษ, กรณีนิรโทษกรรม หลัง 2475 กบฏบวรเดช หรือกบฏอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องการจะแย่งอำนาจคืนมาจากคณะราษฎร แล้วเอาอำนาจไปถวายพระมหากษัตริย์ จนถึงสมัยสงครามโลก มีเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่น ปี 2488 ก็มีการตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรมการกระทำที่เป็นกบฏ ต่อแผ่นดินทั้งหมด
ยันมิใช่กม.ลบล้างความผิด
สำหรับฝ่ายที่สนับสนุนการนิรโทษกรรม อยากให้ลืมความผิดในอดีตนั้น ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจ การออกกฎหมายนิรโทษกรรม มิใช่ออกกฎหมายลบล้างความผิดอย่างเดียว การออกกฎหมายต้องยอมรับการกระทำที่ถูกนิรโทษนั้น เป็นความผิดเสียก่อน รวมทั้งไม่ใช่ทำให้ความผิด-ถูกปนเปกัน หรือทำให้ความผิดนั้นถูกมองข้าม โดยความคิดแบบนี้ อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ นั่นคือ กรณีการตรากฎหมายนิรโทษกรรม มิได้เป็นไปเพื่อความปรองดอง แต่ใช้การปรองดองเป็นเพียงข้ออ้าง สำหรับออกกฎหมายมาเพื่อผู้กระทำความผิดเสียเอง
“นิรโทษกรรม หลักของมันมีเหตุผล ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล และควรมีเมื่อมีเหตุผลสมควร ขณะเดียวกัน ก็อันตรายเมื่อมีการใช้นิรโทษกรรมไปในทางที่ผิด โดยเฉพาะผู้มีอำนาจออกกฎหมายนิรโทษกรรมตนเอง เช่นกรณี นายพล ออกุสโต ปิโนเชต์ อดีตผู้บัญชาการทหารชิลี ออกกฎหมายนิรโทษกรรมตนเอง แล้วยังออกกฎหมายให้ตนเองเป็นวุฒิสมาชิกตลอดชีพ”ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าว และว่า นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อย่าง เพลโต้ บอกว่า แม้การทำผิดจะเป็นความเลวแล้ว แต่ก็เป็นความเลวระดับที่ 2 โดยความเลวระดับต้น คือ การที่ปล่อยให้คนผิดลอยนวล ความอยุติธรรมที่ร้ายแรงที่สุด คือการไม่ยอมลงโทษผู้ทำผิดกฎหมาย หรืออิมมานูเอล คานต์ นักปราชญ์จากโลกตะวันตก บอกว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ทำให้จริยธรรมเสื่อมทราม เพราะจะเป็นตัวอย่างว่า คนทำผิดไม่ต้องรับผิด อีกทั้งการนิรโทษกรรมบ่อยๆ ในระยะยาวจะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่ใส่ใจการบังคับใช้กฎหมาย เพราะเชื่อว่า เดี๋ยวก็มีนิรโทษกรรม
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวถึงการสมานฉันท์หรือการปรองดองไม่อาจเกิดขึ้นได้ ด้วยการไม่ดูความจริง และไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการใช้กำลัง การรักษาความสงบ หรือการให้อภัยอย่างชนิดไม่เข้าอกเข้าใจ ดังนั้น การสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกฝ่ายประสงค์จะอยู่ร่วมกัน ภายใต้กฎหมายที่เป็นกฎหมาย และเมื่อเยาวชนเชื่อว่า ผู้ใหญ่ที่บอกว่า จะทำให้กฎหมายเป็นกฎหมายนั้น เป็นความจริง กฎหมายเป็นกฎหมาย มิใช่กฎหมาย ใช้บังคับสำหรับผู้อ่อนแอ แต่มีแต่ข้อยกเว้นสำหรับผู้มีอำนาจหรือคนรวย
ฐานนิรโทษ มี 2 ปีก
ส่วนฐานของนิรโทษกรรมนั้น อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า มี 2 ปีก ปีกหนึ่ง เป็นปีกให้อภัย แต่หัวใจก็อยู่ที่แสวงหาความจริงก่อน จากนั้นจึงออกกฎหมายลบล้างความผิด นิรโทษกรรมว่า ไม่ผิด หรือออกกฎหมายอภัยโทษ ที่สุดของปีกนี้ คือมองข้ามความผิดไปเลย มองไม่เห็น ปล่อยให้ความผิดหายไปในสังคม โดยหวังว่า ทุกคนจะลืม เช่น การฆาตกรรมหมู่ ในกรณี ก่ออาชญากรรมของฮิตเลอร์ เป็นต้น
“ปีกที่สอง แสวงหาความจริง มองเห็นความจริงก่อนว่า คืออะไร และไปเยียวยาคนที่ได้รับความเดือดร้อน มีการสอบสวน มีกระบวนการซักฟอกทางความคิด อะไรผิดอะไรถูก และมีการดำเนินคดีฟ้องร้อง รู้ว่า ใครผิดถูก จนกระทั่งมาคิดใหม่ จะให้อภัย หรือจะนิรโทษกรรม” ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าว และว่า แม้ฐานของนิรโทษกรรม จะมองได้ 2 ปีกแล้ว แต่ก็ต้องมองด้วยว่า การกระทำผิดนั้นเกิดขึ้นจากอะไรด้วย เช่น ได้ข้อมูลไม่เพียงพอ อารมณ์ชั่วแล่น บันดาลโทสะ กรณีนี้มักนำมาใช้กับการนิรโทษกรรม ด้วยเห็นว่า เป็นเหตุที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคมที่พิกลพิการ มีการเอารัดเอาเปรียบคดโกง ดังนั้น จึงถือเป็น"บาปร่วมหมู่" ควรได้รับการเยียวยา
หนุนนิรโทษกรรม คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
สำหรับการกระทำผิดแบบมีกระบวนการ มีการคิด มีการวางแผน ตั้งใจกระทำความผิด เช่น โจรที่ปล้น ทำร้ายคน ยั่วยุผู้ชุมนุมให้ยิงกันเอง หรือต้องการยกระดับความรุนแรงนั้น อาจารย์นิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรม ควรถูกลงโทษ มิเช่นนั้นแล้ว เหตุการณ์ก็จะเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก ด้วยความหวังว่าจะเกิดนิรโทษกรรม และจะเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับเยาวชน สุดท้ายบ้านเมืองก็จะอยู่ไม่ได้
กรณีเจ้าพนักงานที่กระทำความผิด เช่น คอร์รัปชั่น คิดไตร่ตรองวางแผนโกงบ้านเมือง ไม่ได้ทำเพราะตกเป็นเหยื่อของสังคม อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ควรได้รับการลงโทษ และไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรมเช่นกัน
หรือกรณีเจ้าพนักงานที่ได้รับคำสั่งไปปราบการชุมนุม ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอยู่แล้วนั้น ต่อมาหากมีการกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรม แต่ควรถูกลงโทษ ตามหลักสมควรแก่เหตุ
“จะเห็นว่า มีเหตุสำหรับการนิรโทษกรรม คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรือในฐานะที่ควรเชื่อได้ว่า เขาไม่รู้ อีโหน่อีเหน่ แต่ผู้ที่เห็นชัดรู้อีโหน่อีเหน่ ประสงค์ต่อผลและประสงค์ให้เกิดความวุ่นวาย ให้ผู้อื่นมาตายแทนตน ฯลฯ คนเหล่านี้ ไม่ควรได้รับนิรโทษกรรม”
กอร์ปศักดิ์ บอกเจอแต่ทางตัน
ด้านนายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า การนิรโทษกรรม น่าจะเป็นทางตัน มากกว่าเป็นทางออกของปัญหาความขัดแย้ง ก่อนอื่นการจะพูดถึงเรื่องปรองดอง นิรโทษกรรม ต้องถามตัวเองด้วยว่า มาพูดเรื่องนี้เพราะอะไร อยากจะให้ประเทศเดินหน้าต่อ และเมื่อสังคมมีกติกาที่ทุกคนต้องปฏิบัติ หากกระทำเลยเถิดไปเราควรให้อภัยหรือไม่
“โจทย์วันนี้ คือ จะนิรโทษกรรมแบบใด โดยมองประเทศชาติเป็นหลัก ไม่ใช้ความรุนแรง และหากจะปรองดองโดยไม่มีการนิรโทษกรรม การปรองดองจะเกิดขึ้นได้หรือไม่” อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า การลืมทุกอย่าง แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่นั้น ถามตรงๆ ว่า ลืมได้จริงหรือไม่
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ดังนั้นสังคมต้องช่วยกัน เช่น ให้ คอป. ที่มีศ.ดร.คณิต ณ นคร คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ที่มีศ.นพ.ประเวศ วะสี เดินหน้าทำงานไปอีกสักระยะ พร้อมกับรัฐบาลควรไปขอร้องให้ อดีตนายกฯ อานันท์ เข้ามาทำหน้าที่ต่อ ทำงานที่ค้างไว้ รวมทั้งไปดูแลพี่น้องคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังให้ได้รับความเป็นธรรม และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน
ขณะที่พล.ท.ดร.พีระพงษ์ กล่าวว่า ในอดีตยุคสงครามเย็น รัฐบาลจัดการกับผู้ก่อการร้ายได้ง่าย โดยจุดเริ่มต้นมาจากการเปลี่ยนวิธีคิด จากนั้นไปออกกฎหมายมาแก้ปัญหา แต่วันนี้ เป็นอีกบริบทหนึ่ง การไปทำกับคนไม่ผิดจริง อีกทั้งยังต้องมีการถกเถียงกันก่อนว่า การที่ประชาชนออกมาเรียกร้องนั้น ควรถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่
“หากจะมีการนิรโทษกรรม จึงต้องคิดให้ตกก่อน ปัญหาความขัดแย้งคืออะไร โดยต้องมีการวิเคราะห์สังคมไทยให้แตกฉาน แตกต่างกับการวิเคราะห์โดยมองแบบปัจเจก จะทำให้ความคิดหยุดอยู่แค่นั้น ดังนั้นเครื่องมือในการแก้ปัญหาต้องใช้ธรรมรัฐ สุดยอดของการนิรโทษกรรมหรือไม่ สังคมจึงต้องเป็น Rule of Law”
