วรางคณา บุญเทียม : ผ่าธุรกิจ NEWS Center ทำอย่างไรถึงอยู่รอด?
“เดิมนิวส์เซ็นเตอร์ มีลูกค้าระดับองค์กรอยู่ที่ 200 กว่าราย ขณะที่ ไอคิวนิวส์คลิปจนถึงปัจจุบันเรามีลูกค้าทะลุ 600 ราย แยกเป็นพีอาร์ 20% อีก25% เป็นราชการ บางเจ้าเป็นลูกค้าทั้งนิวส์เซ็นเตอร์ และนิวส์คลิปปิ้งเช่น สำนักเลขาธิการสภาฯ แต่เราตั้งเป้าจะทำยอดให้ถึงหลักพันให้ได้”

คงไม่เกินเลยนัก ถ้าจะบอกว่า “นิวส์เซ็นเตอร์” คือ โปรแกรมยอดฮิตที่ช่วยให้กับกองบรรณาธิการสื่อหลายสำนัก นักข่าวภาคสนาม หาข้อมูลข่าวสารได้สะดวก รวดเร็วจากระบบการค้นข้อมูลย้อนหลังไม่ว่า หนังสือพิมพ์ นิตยสาร สำนักข่าว หน่วยงานราชการ รวมถึง การอัพเดทข่าวเรียลไทม์ที่ดึงข่าวแทบทุกสำนักมาปรากฏอยู่ในจอนิวส์เซ็นเตอร์
ไม่เฉพาะ “สื่อ” ที่เป็นลูกค้า หน่วยงานราชการ เอกชน รัฐวิสาหกิจ กลุ่มบุคคล ยังสมัครเป็นสมาชิกเพื่อให้บริการข้อมูลข่าวสารกับทีมงานในองค์กรในยุคที่ข่าวออนไลน์ใน “อากาศ” มาเป็นพายุทะลุทะลวงข่าวใน “กระดาษ”
ธุรกิจของ นิวส์เซ็นเตอร์ เป็นมาอย่างไร ทีมข่าวจุลสารราชดำเนิน ได้คุยกับ “วรางคณา บุญเทียม” ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อินโฟเควสท์ จำกัด ผู้ให้บริการ นิวส์เซ็นเตอร์มานานร่วม 13 ปี
เธอบอกว่า กลุ่มลูกค้า นิวส์เซ็นเตอร์ รวมแล้วมี 200 กว่าราย เป็นองค์กร 99 % บุคคลจะมีน้อย ถ้าดูแยกย่อย กลุ่มราชการเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ อีกกลุ่ม คือ บริษัทเอกชน รัฐวิสาหกิจ ในส่วนของเอกชนหลากหลายไปอีก เช่น บริษัทขนาดใหญ่ มหาวิทยาลัย ธนาคาร สถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ สื่อมวลชน พีอาร์ หน่วยงานกำกับดูแล นอกจากนั้น ยังมีลูกค้ากลุ่มพลังงาน ปตท. ปตท.สผ. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง ฯลฯ
“นิวส์เซ็นเตอร์จะมีข่าวอัพเดทระหว่างวัน ความเคลื่อนไหวจากข่าวสารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด แหล่งข้อมูลเสริมที่เขายินดีเผยแพร่อยู่แล้ว ซึ่งบริษัทลงแรงไปรวบรวม เช่น ข้อมูลทางการเมืองจากสภาฯ มติครม. ซึ่งลูกค้าชอบมาก นิวส์เซ็นเตอร์ จึงประกอบด้วยแหล่งข้อมูลที่หลากหลายกว่าและยังมีระบบ เสริชเอ็นจิน ค้นหาข้อมูลย้อนหลังได้ถึงสิบปี
“นิวส์เซ็นเตอร์ เริ่มทำตลาดปี 2543 ถึงตอนนี้ก็ 13 ปี ช่วงแรกที่ทำตลาด จะหนักไปทางเอกชน ธนาคาร โบรกเกอร์ เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องใช้ข้อมูล ถัดมา เราพบนักข่าว สื่อ ก็น่าจะเป็นลูกค้าเราได้ เพราะไหนๆ ไปคุยซื้อข่าวเขาเข้าระบบแล้ว ในทางกลับกัน เขาก็เป็นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าสำคัญ เราก็เลยขาย กลุ่มสื่อได้เพิ่มเรื่อยๆ ตอนนี้มีทั้งหลายค่ายทั้ง โพสต์ ผู้จัดการ แนวหน้า ฯลฯ ส่วนกลุ่ม วิทยุ เริ่มจาก แปซิฟิก ไอเอ็นเอ็น จากนั้นก็มาทีวี เริ่มที่ช่อง 5 เพราะมีกรมข่าวของแต่ละกองทัพ มาช่อง 3 หลังสุดที่ขายได้คือ ช่อง 7 ซึ่งเขาเป็นลูกค้าที่ใช้งานหนักแน่นมากเหมือนหนังสือพิมพ์ ส่วนช่องที่ยังขายไม่ได้ตอนนี้คือ ช่อง 9"
คลิกมาก จ่ายค่าลิขสิทธิ์มาก
เธอ บอกว่า เงื่อนไขที่ทำสัญญากับหนังสือพิมพ์ต่างๆ เพื่อดึงข่าวมาอยู่ในหน้าจอนิวส์เซ็นเตอร์ คือ ลิขสิทธิ์ของข่าว ยังคงเป็นของต้นสังกัดนั้นๆ ฉะนั้น ใครก็ตามที่เอาข่าวในนิวส์เซ็นเตอร์มาใช้งาน ต้องมาเรียบเรียงเขียนใหม่ แต่ก็มีพวกเว็บไซด์บางส่วนมาในลักษณะที่ว่า ไม่ลงทุนจ้างนักข่าว รีไรท์เตอร์ คิดก๊อปปี้ลงข่าวจากในนิวส์เซ็นเตอร์มาลงเว็บตัวเอง ซึ่งก็แจ้งไปว่า ทำไม่ได้ เพราะมันขัดข้อตกลงกับเจ้าของลิขสิทธิ์ข้อมูล อันนี้คือ หัวใจสำคัญที่สุด
แหล่งข้อมูลที่ให้บริการบนนิวส์เซ็นเตอร์ มีทั้ง ข่าวเรียลไทม์ หนังสือพิมพ์รายวัน/3วัน/ รายสัปดาห์ / นิตยสาร /บริการข่าวบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เช่น ไอเอ็นเอ็น สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ สปริงนิวส์ บางกอกโพสต์ เอเอสทีวีผู้จัดการ ข่าวสด ข่าวหุ้น เดลินิวส์ ไทยโพสต์ แนวหน้า โพสต์ทูเดย์ มติชน โลกวันนี้ สยามรัฐ ฐานเศรษฐกิจ ประชาชาติธุรกิจ ทันหุ้น มติชนสุดสัปดาห์ อีคอนนิวส์ การเงินธนาคาร ตลาดบ้าน Stock Focus ฯลฯ
“เราจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้เขา(สำนักข่าว หนังสือพิมพ์) ถ้าเราขายได้เพิ่ม เขาก็จะได้เงินเพิ่มด้วย ส่วนใครจะได้มากน้อย เช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ โพสต์ เนชั่น ระบบของนิวส์เซ็นเตอร์จะเก็บสถิติการใช้งานหมด คือ ทุกครั้งที่ลูกค้ากดข่าวของสำนักข่าวไหน 1 ครั้ง เราก็เก็บไว้ว่า login นี้ ¬นำข่าวจากแหล่งนี้1 ครั้ง เราเก็บหมด กดกี่ครั้งก็เรานับซ้ำ แล้วเราก็เอาตรงนี้ไปเป็นเกณฑ์ในการแบ่งสัดส่วน รายได้”
การก็อบปี้ข่าวมีบ่อยครั้ง บางครั้งก็เกิดปัญหาขึ้น โดยเฉพาะที่ก็อบข่าวในจอนิวส์เซ็นเตอร์ไปเขียนเป็นต้นฉบับของตัวเอง ทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์ข่าวโทรมาแจ้งเตือนผ่านทางนิวส์เซ็นเตอร์ในฐานะผู้ดูแล ให้ช่วยกวดขันอย่าเกิดปัญหา
“ถ้าไม่หยุดเขาก็จะจัดการคุณ อย่าง หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่บางฉบับ เข้มงวดเรื่องลิขสิทธิ์มาก โทรมาบอกเราให้ช่วยเตือนสำนักข่าวบางแห่งที่ก๊อปปี้ไปเผยแพร่โดยไม่ขออนุญาต และเขาก็เตือนทางบริษัทเราทางอ้อมให้ช่วยแจ้งกับลูกค้ารายนั้นด้วยว่า ทำผิดข้อตกลงที่เรามีกับเขา ซึ่งถ้าเขาพิสูจน์ได้เห็นว่า เป็นประเด็นเอ็กซ์คลูซีฟของเขาแล้วไปเห็นบนเว็บอื่นแต่กลับมาลง ก็จะมีปัญหา นอกจากนี้ก็มีที่ติดต่อเราให้เราลบข่าวออกจากหน้าจอนิวส์เซ็นเตอร์ เพราะเขาเขียนผิดพลาด แต่เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อย“
ข่าวไหนฮอตฮิต
แล้วข่าวประเภทไหนมีสถิติดูมากที่สุด เธออธิบายว่า ส่วนใหญ่ลูกค้าเน้นดูข่าวภาษาไทยมากกว่าภาษาอังกฤษ ประเภทข่าวที่คลิกมากคือ ผลการออกสลากกินแบ่งฯ ในแต่ละงวด และก็เป็นข่าวฮอตที่เป็นข่าวสนใจของคนทั่วไป เช่น ข่าวสมรสของ “เอ๋กับ เจนี่” หรือ ข่าวแหม่ม -แคทลียากรณีเบนโล ช่วงนั้น คลิกกระหน่ำจนเกิดปรากฎการณ์เว็บล่ม ลูกค้าเลยเข้ามาอ่านในนิวส์เซ็นเตอร์มาก ซึ่งระบบในนิวส์เซ็นเตอร์จะล่มยากเพราะถ้าล่มเราจะถูกลูกค้าปรับเงินตามสัญญาทันที ยังมีข่าวการปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คนก็อ่านเยอะ ซึ่ง ไอพีเจ้าไหนที่มีคนคลิกอ่านข่าวมาก เขาก็จะได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นไปด้วย
“ส่วนค่ายที่คนอ่านเยอะ ถ้าเป็นข่าวเรียลไทม์ ผู้จัดการออนไลน์มาอันดับแรก แต่ที่เริ่มเบียดมาติดๆ คือ ไทยรัฐออนไลน์ กรณีไทยรัฐเพิ่งมาทำหลังผู้จัดการออนไลน์ แต่เขามีสถิติในการเพิ่มยอดเร็วมาก แล้วไม่ใช่เฉพาะสถิติบนนิวส์เซ็นเตอร์ที่บอกว่า เขาเบียดกันมา สถิติจาก Truehits (ระบบให้บริการตรวจสอบสถิติการเยี่ยมชมเว็บไซต์ ของสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ ) ก็สะท้อนเช่นนั้น ส่วน โพสต์ทูเดย์ก็มาแรง อาจจะแซงกรุงเทพธุรกิจด้วยซ้ำ ข่าวโพสต์ทูเดย์อยู่ตรงที่ เสน่ห์กระชับ เข้าใจง่าย แต่ถ้าเทียบกับไทยรัฐ หรือ เดลินิวส์ก็คงเทียบกันลำบาก เพราะข่าวเขารากหญ้ากว่า ขณะที่หนังสือพิมพ์ M2F ก็มาแรง ลูกค้าชอบเนื้อหามาก ทั้งหมดนี้เรานับจากจำนวนคลิก
“ช่วงเวลาที่คนคลิกอ่านข่าวจะแล้วแต่สถานการณ์ที่มีการอัพเดทระหว่างวัน แต่เมื่อเทียบกับหนังสือพิมพ์ คนจะคลิกอ่านข่าวแค่ช่วงตอนเช้า เหมือนที่ต้องทำ morning brief ให้ผู้บริหารองค์กร อย่างไรก็ตาม ความต่างคือ ถ้าเป็นข่าวเวอร์ชั่นที่ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ จะตอบโจทย์ในแง่ความละเอียด การประมวลภาพในเหตุการณ์นั้นๆ ได้ครบถ้วน แต่ข่าวเรียลไทม์จะได้เรื่องความสด
ในเมืองไทย ตลาดลักษณะเดียวกับ นิวส์เซ็นเตอร์ แทบจะไม่มี เธอบอก ที่กล้าพูดเช่นนี้เพราะมักเจอคำถามจากลูกค้าราชการว่า ให้ช่วยหาคู่เทียบมาให้ด้วย อย่างที่รัฐสภา 10 ปีที่แล้วที่จะตกลงมาเป็นลูกค้า เราก็เพราะไม่มีคนให้บริการ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปีย้อนหลังมานี้ ตลาดนิวส์เซ็นเตอร์เริ่มถึงจุดอิ่มตัว
“ในส่วนลูกค้าที่เป็นสื่อ เราจะมีสมาชิกใหม่ขึ้นก็ต่อเมื่อมีการเปิดหนังสือหัวใหม่ เปิดคลื่นใหม่ เปิดเว็บไซด์ข่าว ซึ่งปัจจุบันมีไม่มาก การขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ตอนนี้ ก็มีกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ ตอนหลังได้ซิโนไทย ช.การช่าง เพราะเขารับงานราชการ เลยต้องตามข่าวมากขึ้น และอีกกลุ่ม คือ สถาบันการเงิน เมื่อมีการควบรวมกิจการเปิดบริษัทหลักทรัพย์ใหม่”
นี่เป็นเหตุผลให้บริษัทต้องทำสินค้าตัวใหม่ คือ คลิปปิ้งข่าว ในชื่อ “ไอคิวนิวส์คลิป” ออกสู่ตลาดเมื่อ 7 ปีก่อน
“มันมาจากที่พอเราขายนิวส์เซ็นเตอร์แล้วลูกค้าก็อยากได้ข่าวแบบ look and feel เหมือนในหนังสือพิมพ์ ซึ่งเราพบว่า ถ้าเป็นตัว นิวส์คลิปปิ้ง ลูกค้าพวกพีอาร์ สื่อสารองค์กรใช้งานชัดเจนมากเพราะต้องทำหน้าที่ดูแลภาพลักษณ์ ตามข่าวให้ผู้บริหาร จึงอยากได้ข่าวที่เห็นเหมือนในหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นที่มาของการต่อยอดนิวส์เซ็นเตอร์มาเป็นนิวส์คลิปปิ้ง ตอนนี้ก็ขึ้นปีที่ 7 แล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จมาก
“เดิม นิวส์เซ็นเตอร์ มีลูกค้าระดับองค์กรอยู่ที่ 200 กว่าราย ขณะที่ ไอคิวนิวส์คลิปจนถึงปัจจุบันเรามีลูกค้าทะลุ 600 ราย แยกเป็น พีอาร์ 20% อีก25%เป็นราชการ บางเจ้าเป็นลูกค้าทั้งนิวส์เซ็นเตอร์ และนิวส์คลิปปิ้งเช่น สำนักเลขาธิการสภาฯ แต่เราตั้งเป้าจะทำยอดให้ถึงหลักพันให้ได้”
ต่อยอดคลิปปิ้งข่าว
สนามคลิปปิ้งข่าว มีผู้เล่นหลายเจ้ามากกว่า นิวส์เซ็นเตอร์ เช่น มติชน หรือ พีอาร์เอเจนซี่ แม้กระทั่ง บริษัทข้ามชาติจากมาเลย์ก็มาทำคลิปปิ้งข่าวในประเทศไทย ความต่างของที่นี่เทียบกับรายอื่น อยู่ที่ มีบริการวัดอัตราราคาตามพื้นที่ข่าวที่องค์กรนั้นได้ลงหนังสือพิมพ์ ซึ่งจุดนี้ ทำให้ลูกค้าชื่นชอบ เพราะต้องการเห็นการวัดมูลค่าออกมาเป็นตัวเงิน
“เช่น หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ลงเซคชั่นนี้ ตำแหน่งนี้ วัดตามคอลัมน์นิ้ว จะมีราคาเท่าไร โดยเรายึดตามหลักการของเรทพื้นที่โฆษณาของหนังสือพิมพ์ แต่ละฉบับมาเทียบคูณ เช่น ถ้าได้ลง 120 คอลัมน์นิ้วเทียบเท่ากับครึ่งหน้าของฉบับนั้นเป็นมูลค่ากี่บาท เราทำละเอียดถึงขั้นว่า ถ้าได้ลง สี หรือ ขาวดำ ตัวมูลค่าจะเท่าไร นิวส์คลิปของเราเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ตัดทั้งฉบับ”
หลักการของ ไอคิวนิวส์คลิป จะให้บริการผ่านเว็บไซด์ ซึ่งลูกค้าต้องจ่ายเงินค่าสมาชิก แล้วเงินที่เก็บจากลูกค้า ก็จะจ่ายเป็นค่าลิขสิทธิ์ให้ไอพีสำนักพิมพ์ต่างๆ เช่น ไทยรัฐ บางกอกโพสต์ หรือ สื่ออื่นๆ มันเป็นการต่อยอดจากนิวส์เซ็นเตอร์
เธอสรุปว่า นิวส์เซ็นเตอร์ เป็นมากกว่าห้องสมุด เพราะสามารถใช้วางแผน วางกลยุทธ์ ค้นข่าวสารจากนิวสเซ็นเตอร์เกี่ยวกับภาวะ เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม หรือ คู่แข่ง สามารถเอาไปใช้งานได้หลากหลาย
คิดอย่างไร กับ คำว่า หนังสือพิมพ์กำลังจะตาย? ….
“ถ้าหนังสือพิมพ์ที่เป็นแบบ พิมพ์ออกมาแล้วขายโฆษณา และตัวหนังสือพิมพ์จะถึงผู้อ่าน ก็ต่อเมื่อผู้อ่านต้องสมัครเป็นสมาชิกหรือจ่ายเงินซื้อ โมเดลแบบนี้มันเป็น sunset คือ มันผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ถึงแม้ว่า หนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ๆจะยังขายโฆษณาได้อยู่ แต่ตอนนี้เงินในส่วนของการขายสมาชิกของหนังสือพิมพ์ก็ลำบาก อันนี้ทุกคนพอรับทราบ การเกิดขึ้นของอินเตอร์เน็ต มันทำให้โมเดลแบบที่หวงเนื้อหาข่าว มันอยู่ไม่ได้แล้ว โมเดลแบบเอ็มทูเอฟ ที่พิมพ์หนังสือมาแจกฟรีมีเป้าหมายชัดเจน คือ กลุ่มบีทีเอสก็เป็นโมเดลใหม่ที่น่าสนใจ เพราะไม่ได้ขายหนังสือพิมพ์แล้ว แต่เน้นรายได้จากโฆษณา
“ตัวกระดาษมันเป็นแค่ช่องทางหนึ่ง แต่วันนี้มันต้องออกในหลายช่องทางให้มากที่สุดเพราะต้องยอมรับว่า คนอ่านข่าวในอินเตอร์เน็ตเยอะมาก และมาอ่านข่าวจากเฟสบุ๊ค ไม่ได้เข้าเว็บนั้นๆ โดยตรงแล้ว”
รู้จักระบบ - การทำงาน
“เนื้อหาในนิวส์เซ็นเตอร์มีที่มา 3 แบบ 1.ระบบซอฟแวร์ดึงกันเอง 2.คนคีย์ข้อมูล และ 3.แบบ คนก็อปเพรส สำหรับทีมของนิวส์เซ็นเตอร์ ประกอบด้วย ทีมเนื้อหา 20 คน ทีมของสำนักข่าวอิสโฟเควสท์ ที่เรามีกองบรรณาธิการเองอีกจำนวนหนึ่ง
“ในส่วนข่าวจากสำนักข่าวจะเข้าระบบอัตโนมัติ ยกตัวอย่าง เนื้อหาจากผู้จัดการออนไลน์ ที่เราได้ไปเจรจามา พอเซ็นสัญญาปุ๊บ ก็จะเกิดขั้นตอนของการตกลงรับส่งข้อมูล เช่น เขาเอาไฟล์วางไว้ หรือ เราเขียนซอฟแวร์ไปดึงมา หรือ จะส่งมาแบบไหนก็ตามแต่ที่ได้ตกลงกันแต่ละเจ้า เช่น เมื่อมีการอัพเดทข้อมูลจากทางฝั่งผู้จัดการออนไลน์ปุ๊บ อีกนาทีถัดมามันก็ปรากฎอยู่ในฐานข้อมูลนิวส์เซ็นเตอร์ทันที ฉะนั้น เราไม่ได้ใช้คนคีย์ข้อมูล เพราะว่า ปริมาณข้อมูลข่าวอัพเดทมันเข้ามามากจากหลายสำนัก
“ส่วนคนของเราใช้มอนิเตอร์แทน เช่น ข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ในแต่ละวัน ประเมินว่า เขาจะอัพเดทข้อมูลประมาณ 300-400 ชิ้น เราจึงเซ็ทข้อมูลว่า ถ้า 15 นาทีผ่านไปแล้วไม่มีข่าวจากผู้จัดการออนไลน์มาเลย แสดงว่า ระบบอาจมีปัญหา ก็เป็นหน้าที่ของทีมงานเราต้องตรวจสอบ ส่วนคนที่จะพิมพ์ ข้อมูล ก็อาจมี เช่น หนังสือพิมพ์ ที่ส่งมาตอนเช้า แต่มาไม่ครบ อีกส่วนคือ ข่าวประชาสัมพันธ์ ในนิวส์เซ็นเตอร์ ซึ่งมีหลายร้อยชิ้น เพราะรับจาก พีอาร์เอเจนซี่ หน่วยงานเอกชน ราชการ และพวกข้อมูลเสริมต่างๆ ส่วนใหญ่จะได้มาเป็น word หรือ excel ก็ใช้คน ก็อปเข้าระบบ เพราะว่า เวลาที่เราได้มาจากแหล่งต้นทางก็มีหลากหลาย ฉะนั้นเมื่อจะเอามาเข้าฐานข้อมูล ก็ต้องจัดให้อยู่มาตรฐานของเรา ซึ่งตรงนี้ต้องใช้คนมาก๊อบปี้เพรส
“ระบบการเป็นสมาชิกนิวส์เซ็นเตอร์ มีหลายแพ็คเกจ แล้วแต่จ่ายเงิน ไม่ว่า จะเป็นนิวส์เซ็นเตอร์ หรือ นิวส์คลิป เราขายตามหลักว่า Concurrent User หมายถึง การเข้าพร้อมๆ กัน สมมติเราอยู่บริษัทเดียวกัน ถ้าซื้อ 1 Concurrent ถ้ามีคนหนึ่งเข้า อีกคนจะเข้าพร้อมกันไม่ได้
“ที่กองบรรณาธิการหนึ่ง โปรแกรมนิวส์เซ็นเตอร์อาจติดที่บริษัทได้ทุกเครื่อง แต่ในเวลาหนึ่งๆ จะเข้าได้กี่เครื่อง อยู่ที่ข้อตกลงกับเรา ราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนเครื่อง หรือ ตามจำนวน login ถ้า 1 login จ่าย 12,000 บาทต่อเดือน แต่ถ้าจ่าย 24,000 บาท เอาไปเลย 20 login อันนี้เป็นราคาแพ็คเกจ ซึ่งมีหลากหลาย หรือ จ่ายในราคา 12,000 บาทแล้วใช้ 20 login มันจะมีโควต้าจำกัด เช่น ช่วงเวลาหนึ่งจะเคาะได้ 7,200 ครั้ง กล่าวคือ ใน 20 login จะใช้งานกี่คนก็ตาม ในแต่ละช่วงเวลานั้นจะใช้ได้ไม่เกินตามนี้ ถ้าเกินจะเสียเคาะละ 5 บาท อันนี้คือ กลุ่มที่ซื้อแบบจำกัด คือ ไม่ได้จ่ายในราคาเต็ม 24,000 บาท ถ้าใช้เกินก็ต้องเสียค่าที่ใช้เกินเพราะเราก็ต้องจ่ายเป็นค่า royalty ให้ไอพีเขาด้วย”
