“ชัยวัฒน์” ชี้ภารกิจผลักดันกะเหรี่ยงกลับพม่า เหตุรุกป่าหนัก

หน.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ชี้แจงละเอียดนำทีมผลักดันกะเหรี่ยงกลับพม่า เหตุรุกป่า-โค่นไม้ใหญ่จำนวนมาก ย้ำไม่เคยคิดจับกุมชนกลุ่มน้อย ด้าน “สุรพงษ์” ลั่น กะเหรี่ยงอยู่คู่ป่าแก่งกระจานมาเป็น 100 ปี
วันที่ 8 สิงหาคม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนาเรื่อง “ฮ. ตก กับปัญหาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน” ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ โดยมี นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา และนายวุฒิ บุญเลิศ ประธานประชาคมอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ร่วมเสวนา
นายชัยวัฒน์ กล่าวถึงสภาพทั่วไปของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานว่า ในภาพรวมแก่งกระจานมีพื้นที่ประมาณ 3 ล้านกว่าไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นภูเขาสลับซับซ้อนและหุบเขา ขณะที่สภาพป่าประกอบด้วยป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพันธุ์ และป่าที่เคยได้รับสัมปทานป่าไม้ก่อนปี 2514-2532
“ส่วนปัญหาการจัดการป่าไม้เป็นเรื่องที่คาราคาซังตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะเมื่อประกาศป่าเป็นอุทยานฯ กรอบการบริหารก็ถูกวางไว้อย่างชัดเจน แต่ถามว่า การจัดการบางเรื่องถูกทางหรือไม่ อย่างเช่น เรื่องการดูแลเรื่องไฟป่า ฯ ที่มีความเข้มงวดอย่างมาก ทั้งๆ ที่ไฟป่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ ซึ่งหากไม่มีไฟป่าเกิดในธรรมชาติเลย ระบบนิเวศน์ของป่าก็จะเปลี่ยนไป ไม่มีหญ้าใหม่เกิดขึ้น ดังนั้น เมื่อเกิดไฟป่าเกิดก็ใช่ว่าจะทำให้ป่าพังอย่างเดียว”
หน.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กล่าวถึงการสำรวจพื้นที่โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ จนเป็นเหตุให้เฮลิคอปเตอร์ตกจำนวน 3 ลำว่า เนื่องจากพื้นที่ป่าแก่งกระจานมีขนาดใหญ่ การเดินสำรวจพื้นที่เพียง 1 ใน 4 ของอุทยานฯ ต้องใช้เวลาถึง 15 วัน การทำงานจึงต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ เพื่อตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศ
“ภารกิจสำรวจพื้นป่าแก่งกระจานเริ่มตั้งแต่วันที่ 21-24 เมษายนปี 2552 ในบริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งห่างจากชายแดนพม่าประมาณครึ่งกิโลเมตร เพื่อสำรวจพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ ผลสำรวจพบว่า มีการใช้ประโยชน์ของชุมชนจำนวนมาก อีกทั้งคนที่อาศัยในป่าส่วนใหญ่ยังอพยพมาจากประเทศพม่า”
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในปี 2537-2541 อุทยานฯ ได้อพยพชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นชาวกะหร่างในป่าทั้งหมดมาอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน โดยมีการจัดสรรพื้นที่ทำกินให้ครอบครัวละประมาณ 5-15 ไร่แล้วแต่ขนาดของครอบครัว อีกทั้งยังเพิ่มพื้นที่ให้สร้างที่อยู่อาศัยอีกครอบครัวละ 3 งาน แต่ต่อมาเมื่อมีการสำรวจในปี 2552 กลับพบว่า ชนกลุ่มน้อยดั่งเดิมได้ย้ายถิ่นออกไป บ้านเรือนถูกปล่อยทิ้งร้าง จนกระทั่งมีชนกลุ่มน้อยจากฝั่งพม่าอพยพเข้ามาอาศัยอยู่แทน เพื่อทำไร่เลื่อนลอย
“เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ไปเจรจากับชนกลุ่มน้อย เพื่อชี้แจงว่าประเทศไทยมีกฎหมายอุทยานแห่งชาติฯ ที่ห้ามไม่ให้บุกรุกป่า อีกทั้งการอพยพเข้ามาในประเทศไทย โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ผลการเจรจาพบว่า ชนกลุ่มน้อยไม่มีท่าทีจะอพยพออกจากพื้นที่ ทำให้การลงพื้นที่ครั้งต่อมา เจ้าหน้าที่ตัดสินใจรื้อบ้านของชนกลุ่มน้อยทิ้ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเข้มงวด อีกทั้งยังมีการเผาบ้านเรือน ที่ถูกทิ้งร้างดังกล่าวทิ้ง เนื่องจากเห็นว่า จะเป็นผลดีและง่ายต่อการสำรวจทางอากาศ”นายชัยวัฒน์ กล่าว และว่า ก่อนเผาบ้านเรือน เจ้าหน้าที่ได้ขนเสื้อผ้า เครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งข้าวเปลือกออกมาเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า ไม่มีการเผาทำลายข้าวอย่างแน่นอน เพราะไม่เช่นนั้น เจ้าหน้าที่คงไม่ปล่อยเวลาไว้นานถึง 6 เดือน เพื่อรอให้ชนกลุ่มน้อยเก็บเกี่ยวข้าวเสียก่อน
ส่วนปัญหาที่ตามติดมากับการเพาะปลูกของชนกลุ่มน้อย ซึ่งสร้างความกังวลให้กับเจ้าหน้าที่นั้น นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า เป็นปัญหาเรื่องยาเสพติด เนื่องจากพื้นที่บางแปลงมีการปลูกกัญชา อีกทั้งการเพาะปลูกในลักษณะไร่หมุนเวียน แม้ว่าจะมีการหมุนเวียนในพื้นที่เดิม แต่หากผลผลิตไม่ดี ชนกลุ่มน้อยก็มักจะถางป่า โค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ เพื่อนำพื้นที่มาเพาะปลูก
“โซนที่มีปัญหาเรื่องการอพยพและการทำกินของชนกลุ่มน้อย อยู่บริเวณพรมแดนติดต่อกับประเทศพม่า ซึ่งเป็นพื้นที่คนละจุดกับบริเวณที่เกิดเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตก”หน.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กล่าว และว่า การสำรวจพื้นที่ป่าก่อนหน้านี้อยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานทั้งหมด กองทัพเพียงแต่ส่งทหารมาช่วยเท่านั้น แต่เมื่อจุดสำรวจอยู่ใกล้บริเวณชายแดนและเป็นพื้นที่ระยะการบินของกองทัพ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ จึงสนธิกำลังกับกองทัพ เพื่อร่วมภารกิจดังกล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า การสนธิกำลังดังกล่าวมีขึ้นตามโครงการสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ตามแนวชายแดน เพื่อใช้เป็นจุดส่งเสบียงอาหารให้กับเจ้าหน้าที่ที่เดินสำรวจพื้นป่า และป้องกันการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชนกลุ่มน้อยชาวพม่า เนื่องจากเล็งเห็นว่า หากปล่อยไว้คงยากต่อการผลักดัน เจ้าหน้าที่ไม่คิดจะเข้าไปจับกุมชนกลุ่มน้อย เพียงแต่อุทยานฯ ได้จัดสรรที่ทำกิน สร้างบ้านเรือน รวมทั้งโรงเรียนให้กับผู้ที่มีสิทธิอยู่เดิมไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่ใช่ใครจะเข้ามาก็ได้ เพราะทุกวันนี้ช้างแทบจะไม่มีที่เดิน
กะเหรี่ยงอาศัยในป่าแก่งกระจานมาเป็น 100 ปี
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงความหมายของคำว่า ‘กะหร่าง’ ว่า เป็นคำที่ไม่ควรใช้ เพราะส่อไปในทางดูถูกเหยียบหยาม ดังนั้น คำที่ถูกต้องที่ควรใช้คือคำว่ากะเหรี่ยงเท่านั้น กะเหรี่ยงในประเทศไทยมีประมาณ 500,000 คน แบ่งออกเป็นกะเหรี่ยงสะกอ หรือปกาเกอะญอ และกะเหรี่ยงโป หรือโพล่ง โผล่ว ซึ่งจากการศึกษาความเป็นอยู่ของกะเหรี่ยงในพื้นที่แก่งกระจาน ต้นน้ำเพชร โดยศูนย์พัฒนาและสังเคราะห์ชาวเขา จังหวัดกาญจนบุรี พบว่า กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในบริเวณแก่งกระจานมีมาหลายร้อยปีแล้ว อีกทั้งไม่มีหลักฐานใดเลยที่ปรากฏถึงการอพยพเข้าเมือง
“ยกตัวอย่างกรณีนายจอบิ ชาวกะเหรี่ยงที่ถูกกล่าวหาว่ายิงรถโรงเรียน ซึ่งในที่สุดถูกตั้งข้อหาว่า หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทั้งที่ไม่มีหลักฐานการเข้าประเทศว่า มาจากช่องทางไหน เช่นเดียวกับการสืบค้นที่พบว่า กะเหรี่ยงในแก่งกระจานมีอยู่ตั้งแต่ปี 2525 รวมทั้งกะเหรี่ยงในอุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่นเรศวรด้วย”
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การทำความเข้าใจที่มาที่ไปของชาวกะเหรี่ยงมีความสำคัญต่อการอยู่รวมกัน การบินสำรวจจากเฮลิคอปเตอร์อย่างเดียว แล้วมองว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายไม่พอ เจ้าหน้าที่ต้องเข้าใจ เข้าถึง ลงไปพูดคุย ส่วนข้อหาที่ชาวบ้านโดน ไม่ว่าจะทำลายป่า เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ต้องให้ภาพที่ชัดเจน เข้ามาอย่างไร บ้านเก่าอยู่ที่ไหน เพราะที่ผ่านมามีแต่เพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ
“การจัดการคนในพื้นที่ป่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะจากพระราชดำรัสของในหลวงปี 2516 กอปรกับมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2553 เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง”
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงมติ ครม.ดังกล่าว ยังให้รัฐบาลส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนบนพื้นที่สูงเช่น การสร้างสมดุลนิเวศน์ผ่านกระบวนการไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นวิถีวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง รวมทั้งผลักดันให้ระบบไร่หมุนเวียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ดังนั้นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีการบุกรุกพื้นที่แก่งกระจาน หรือที่ป่าทับลาน เขาใหญ่ ก็ควรดำเนินการทางกฎหมายไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ควรมีสองมาตรฐาน
ชนกลุ่มน้อยถูกมองเป็น 'คนนอกสังคม'
ด้านนายวุฒิ กล่าวถึงวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงเพชรบุรีว่า พึ่งพาอาศัยอยู่กับป่า มองทุกอย่างมีชีวิต มีวิญญาณ มีความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับธรรมชาติ ดังนั้น ท่าทีการปฏิบัติจึงมีความนบนอบต่อธรรมชาติ โดยจะเห็นได้จาก กะเหรี่ยงที่เกิดใหม่ จะมีการนำรกของเด็กไปผูกไว้กับต้นไม้ ตามความเชื่อ เพื่อให้ขวัญเด็กอยู่กับต้นไม้ ขณะที่สิ่งที่อันตรายคือการมองป่าแบบวิทยาศาสตร์ เน้นแต่เรื่องวัตถุของภาคจากภาครัฐ โดยขาดนัยยะด้านจิตใจ ทำให้คุณค่าและการจัดการป่ามีความเข้าใจที่แตกต่างกัน
ขณะที่เรื่องการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นวิถีวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงนั้น ปธ.ประชาคมอำเภอสวนผึ้ง กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการทำลายป่า แต่เป็นระบบการผลิตที่ความกลมกลืนกับธรรมชาติและทำให้ระบบนิเวศน์กลับคืน
“ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่เราการสร้างวาทกรรมในเรื่องของชนกลุ่มน้อย จนไม่รู้ว่าหมายถึงชนเผ่าอะไร แต่ทำให้นัยยะของชนกลุ่มน้อยถูกมองเป็นคนนอกสังคม คนละพวกกับชนชาติไทย สามารถทำอะไรกับคนเหล่านี้ก็ได้ เช่นเดียวกับในช่วงที่ผ่าน บ้านเมืองมีความขัดแย้งทางความคิด รัฐบาลก็เรียกคนกลุ่มหนึ่งว่า ผู้ก่อการร้าย ซึ่งการสร้างวาทกรรมดังกล่าวนั้นเป็นไปเพื่อให้อำนาจหรือลดอำนาจของคน จนนำไปสู่การปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป
ทั้งนี้ นายวุฒิ กล่าวด้วยว่า สำหรับทางออกในการอยู่รวมกันนั้น จะต้องมีการเรียนรู้และถอดบทเรียนร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่และชนเผ่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ป่าและคนอยู่ร่วมกันได้
